รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 8 ม.ค. นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
นางสโรชา พรอุดมศักดิ์ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้ตั้งข้อสังเกตถึงการเดินทางกลับประเทศ
ไทยของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ ว่า เป็นการตัดสินใจเดินทางกลับอย่างกระทันหัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้มี
กำหนดเดินทางกลับในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ตามคำบอกเล่าของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หรือช้าสุดเดือนเมษายน ตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิน
วัตร ประกาศไว้
การกลับมาของคุณหญิงพจมาน เชื่อว่าเป็นเพราะคนวางยุทธศาสตร์ของพรรคพลังประชาชน เริ่มเล็งเห็นความเปลี่ยนแปลงทางการ
เมืองที่เป็นลบมากว่าบวกต่อพรรคพลังประชาชน ภาพที่ปรากฏในวันนี้จริงอยู่ดูเหมือนเป็นการตีปีกของพรรคพลังประชาชน แต่ใน
ลึกๆ เริ่มเห็นเค้าลางการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้หากมองดูบรรยากาศหลังการเลือกตั้งที่ผ่านไป 15 วัน พรรคพลังประชาชนเหมือนจะชนะ แต่วันนี้กลับไม่รู้ว่าจะแพ้หรือไม่ การ
เมืองในวันข้างหน้ายังไม่มีความแน่นอน นอจากการแจกใบเหลืองใบแดงของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เปรียบเหมือนพระ
ขรรค์ที่ฟันไปทีละแผล อาจจะส่งผลกระทบไม่รุนแรง แต่ยังมีคดีของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าที่ ส.ส.ระบบสัดส่วนกลุ่ม 1 ของพรรคฯ
รวมทั้งการร้องเรียนคดีนอมินีโดยนายไชวัฒน์ สินสุวงศ์ ที่ศาลฎีกากำลังพิจารณา คือประเด็นที่พรรคพลังประชาชนกำลังกลัวมากกว่า
เนื่องจากอาจนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชนได้ ซึ่งจะเป็นเหมือนหอกโมขศักดิ์ที่ทำลายพรรคได้เลย
สถานการณ์ที่ยังขาดความแน่นอน เชื่อว่ากุนซือของพรรคจะต้องเตรียมการ พร้อมทั้งอ่านสถานการณ์เตรียมแผนรองรับ หากถึงขั้นยุบ
พรรค พรรคพลังประชาชนจะต้องใช้สิ่งที่มีค่าและทรงพลังมากที่สุด คือ ฐานมวลชนในภาคอีสาน และเหนือ ที่ถูกหล่อเลี้ยงไว้อย่าง
สม่ำเสมอ ขณะเดียวกันก็ต้องมีประเด็นให้มวลชนมีขวัญกำลังใจ ได้ตระหนักถึงชัยชนะ เลี้ยงเพื่อแปรผันเป็นม็อบ เพื่อสร้างฐานเสียง
เตรียมการเลือกตั้งใหม่ เป็นการซ่อนไพ่ตามสถานการณ์ โดยไพ่ที่เด็ดขาดที่ขาดคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นไพ่ใบสุดท้าย ซึ่งสถานการณ์
คงไม่ยังถึงขั้นทิ้งลงมา
ดังนั้นหากอ่านแบบมองยุทธศาสตร์ทางการเมือง กุนซือของพรรคพลังประชาชนที่รู้สึกถึงสถานการณ์กำลังไม่เป็นไปตามแนวทางที่
คาดไว้ จึงเดินเกมโดยใช้คุณหญิงพจมาน ให้เดินทางกลับมา ซึ่งมีแต่ได้กับได้ หากคุณหญิงพจมานไม่ได้รับความปลอดภัย หรือเจ้า
หน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงเข้าจับกุม จะเป็นบวกต่อพรรคพลังประชาชน ดังนั้นการกลับจึงไม่เป็นความลับ มีการติดต่อประสานงาน
ไว้ล่วงหน้า เกิดกระแสโดยไม่ต้องจ้างคน อาศัยสื่อมวลชนที่ค่อนข้างเอนเอียงนำเสนอ การกลับมาของคุณหญิงพจมานจึงถือเป็นไพ่
ใบรองสุดท้าย ของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ผู้ดำเนินรายการ ยังเชื่อว่า คดีของนายยงยุทธ นั้นมีเดิมพันสูงมาก นายยงยุทธ มีตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน หาก
ผิดก็อาจส่งผลกระทบไปที่พรรคโดยตรง ดังนั้นนายยงยุทธ จะต้องสู้เต็มที่แน่นอน อย่างไรก็ตามข้อเสียของนายยงยุทธ ที่อุตสาห์ไปร่ำ
เรียนต่อที่เมืองนอกหลังเกิดการรัฐประหาร คือเอาง่ายเข้าว่า เอาของฟรีเข้าไว้ก่อน เช่น การใช้รถตู้ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมที่เขาเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการ มาขนหัวคะแนน สมมุติพรรคพลังประชาชนถูกยุบจากใบแดงใบนี้ ก็อย่าไปโทษมือที่มอง
ไม่เห็น คนที่ต้องถูกลงโทษก็คือนายยงยุทธ
** “พล.ต.ต.ชัยยะ”ขอความเป็นธรรม กกต.
ในช่วงที่ 2 ของรายการ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึง พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ในฐานะหัวหน้าฝ่าย
สืบสวนสอบสวนของ กกต.ได้แถลงข่าวขอความเป็นธรรมที่ กกต.ว่า เนื่องมาจาก พล.ต.ต.ชัยยะได้รับการติดต่อจาก กกต.ให้ไปช่วยงาน
ในชุดสืบสวนสอบสวนมาเกือบปีแล้ว ซึ่งก็มีผลงานเป็นที่ชื่นชมของ กกต. จนต่อมา เมื่อมีการเสนอแผนปรับปรุงงานสืบสวนสอบ
สวนของ กกต.ปรากฏว่าแผนงานดังกล่าวไปติดอยู่ที่ กกต.ด้านกิจการสืบสวนสอบสวน(ภายใต้การดูแลของนายสมชัย จึงประเสริฐ) ทำ
ให้แผนงานไม่คืบหน้า ที่ประชุม กกต.จึงมีมติให้งานสืบสวนสอบสวนขึ้นต่อขึ้นต่อ กกต.กลางทั้ง 5 คน ไม่ต้องขึ้นกับ กกต.สืบสวน
สอบสวนแค่ฝ่ายเดียว ต่อมาก็มีพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ว่าพล.ต.ต.ชัยยะมีความสนิทสนมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนสุดท้ายพล.ต.ต.ชัยยะโดยส่วนตัวก็ไม่ได้ทำหน้าที่ใน กกต. แต่งานที่ทำอยู่เป็นเรื่องของกอง
บัญชาการตำรวจสันติบาล โดยขึ้นอยู่กับผู้บัญชาการฯ
ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า ในวันนี้(8ม.ค.) พล.ต.ต.ชัยยะเดินทางไปที่ กกต.ในฐานะรอง ผู้บัญชาการสันติบาล แต่ปรากฏว่า ไม่ได้รับ
อนุญาตให้เข้าร่วมฟังการสอบสวนคดีทุจริตเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ผู้สมัคร ส.ส.ระบบสัดส่วนพรรคพลังประชาชน ทั้งที่
เป็นคนทำคดีนี้มาแต่ต้น ดังนั้นจึงรู้สึกว่าถูกกระทำสถานเดียว จึงได้ถือโอกาสแถลงขอความเป็นธรรม
หลังจากนั้นผู้ดำเนินรายการได้เปิดเทปการแถลงของ พล.ต.ต.ชัยยะ ซึ่งมีใจความสรุปได้ว่า ตนได้รับการขอร้องให้มาช่วยงาน กกต.
และเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา กกต.ได้เชิญเข้าไปหารือและมีมติขอให้ตำรวจสันติบาล 700 นายไปช่วย กกต. โดยให้เป็นเจ้าพนักงาน
ตามกฎหมายเลือกตั้ง มีอำนาจสืบสวนสอบสวน และให้เก็บข้อมูลหลักฐานคู่ขนานไปกับเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนของ กกต.เมื่อ กก
ต.ขอให้มาช่วย ก็ให้ความร่วมมือทุกด้าน
พล.ต.ต.ชัยยะ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการทุจริตที่ จ.เชียงราย ได้ดำเนินการสืบสวนในเชิงรุก เมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นก็ได้นำ
เรื่องเข้าเสนอที่ประชุม กกต. โดยสันติบาลเห็นว่า การกระทำทุจริต มีรูปแบบที่แตกต่างจากที่อื่น เพราะมีหน่วยราชการหลายแห่งเข้า
ไปเกี่ยวข้อง มีการกระทำเป็นกระบวนการ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของพยาน จึงได้ขอต่อที่ประชุมว่าในการพิจารณาสำนวนนี้ขอให้
ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องประชุม ก่อนที่จะแจกสำเนาสำนวนการสอบสวนจำนวน 6 ชุดให้กับ กกต. 5 คนและเลขาธิการ กกต. เมื่อ
ชี้แจงเสร็จ กกต.ก็เห็นว่ามีมูลพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา และหลังนำเสนอแล้วก็ขอเก็บสำเนาสำนวนการสอบสวนคืนจากทุกคน แต่มี กก
ต.คนหนึ่งไม่ยอมคืน
ต่อมาในวันที่ 4 ม.ค. ก็มีคำสั่งจาก กกต.ให้ตนเข้าไปชี้แจงโดยระบุว่า มีการร้องเรียนจากนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค
พลังประชาชนว่า ตนไม่มีอำนาจในการสอบสวน ไม่มีความรู้ และวางตัวไม่เป็นกลางเนื่องจากรู้จักกับพรรคประชาธิปัตย์ และสื่อมวล
ชนบางคน ตนก็ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่าได้รับมอบอำนาจอย่างถูกต้องจาก กกต. และมีหนังสือส่งตัวตามขั้นตอนของสำนักงานตำรวจ
แห่งชาติทุกประการ ส่วนที่ว่าไม่มีความรู้ ตนก็เป็นอนุกรรมการวินิจฉัยของ กกต.มาเกือบ 1 ปีแล้วและยังเป็นวิทยากรอบรมพนักงาน
สืบสวนอีก แต่กลับมาบอกว่าตนไม่เป็นกลาง จึงต้องขอความเป็นธรรม เพราะใช้หนังสือร้องเรียนเพียงฉบับเดียว แล้วมาขอให้ตนไม่
เข้าร่วมรับฟังสำนวนคดีที่เชียงราย ถามว่ารับได้ไหม ความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน ตนเป็นเพียงเก็บรวบรวมวัตถุดิบ ไม่ใช่เป็นตัวชี้ขาด แต่
ถ้าหากเพื่อไม่ให้สังคมแตกแยกตนพร้อมยุติบทบาท
พล.ต.ต.ชัยยะ กล่าวต่อว่า ตนเป็นตำรวจมาหลายสิบปี มีเพื่อนพ้องน้องพี่ จะไม่ให้รู้จักใครได้อย่างไร ตนรู้จักกับใครไม่สำคัญ
ต้องดูว่ารู้จักแล้วเป็นธรรมหรือไม่ และการที่รู้จักใคร แล้วไม่ใช่ว่าจะเอนเอียงหรือไปขึ้นอยู่กับใคร
** ปลุก ส.ส.ชาติไทยแสดงจุดยืนวันโหวตนายกฯ
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่พรรคชาติไทยเปลี่ยนจุดยืนเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนว่า เมื่อดูจากปฏิกิริยาที่ออกมา
ทางสื่อต่างๆ พบว่า สร้างความเสียหายต่อพรรคชาติไทยอย่างมหาศาล ว่ากันว่าที่พรรคชาติไทยยอมกลืนน้ำลายตัวเองครั้งนี้ อาจจะไม่
ใช่แค่ได้ยินเสียงเคาะกะลาอย่างเดียว แต่มีคนพูดกันว่า มีการเอาตัวเลขมาล่อ กล่าวคือ จำนวน ส.ส.พรรคชาติไทยที่มี 37 คน เอา 20 คูณ
เข้าไป ส่วนที่ได้ใบแดงไป 2 ใบจะต้องคูณใหม่ด้วยหรือเปล่าไม่ทราบ รวมทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะนายสมัคร สถานภาพ
ค่อนข้างจะง่อนแง่น อาจจะเป็นนายกฯได้แต่ไม่ยืด
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า หาก ส.ส.ในพรรคชาติไทยยังเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้าง อยากให้แสดงจุดยืนวันลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในสภา
ซึ่งตามรัฐธรรมนูญใหม่กำหนดให้เป็นสิทธิของส.ส.แต่ละคน นายบรรหารบงการไม่ได้ ไม่ถูกผูกพันโดยอาณัติใดๆ ทั้งสิ้น เพราะ
ฉะนั้นถ้ายังมีสำนึกก็ขอให้แสดงออกในวันนั้น ซึ่งแม้จะยกมือให้คนอื่น แต่หัวหน้าพรรคก็ไล่ออกจากพรรคไม่ได้
นางสโรชา พรอุดมศักดิ์ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้ตั้งข้อสังเกตถึงการเดินทางกลับประเทศ
ไทยของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ ว่า เป็นการตัดสินใจเดินทางกลับอย่างกระทันหัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้มี
กำหนดเดินทางกลับในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ตามคำบอกเล่าของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หรือช้าสุดเดือนเมษายน ตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิน
วัตร ประกาศไว้
การกลับมาของคุณหญิงพจมาน เชื่อว่าเป็นเพราะคนวางยุทธศาสตร์ของพรรคพลังประชาชน เริ่มเล็งเห็นความเปลี่ยนแปลงทางการ
เมืองที่เป็นลบมากว่าบวกต่อพรรคพลังประชาชน ภาพที่ปรากฏในวันนี้จริงอยู่ดูเหมือนเป็นการตีปีกของพรรคพลังประชาชน แต่ใน
ลึกๆ เริ่มเห็นเค้าลางการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้หากมองดูบรรยากาศหลังการเลือกตั้งที่ผ่านไป 15 วัน พรรคพลังประชาชนเหมือนจะชนะ แต่วันนี้กลับไม่รู้ว่าจะแพ้หรือไม่ การ
เมืองในวันข้างหน้ายังไม่มีความแน่นอน นอจากการแจกใบเหลืองใบแดงของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เปรียบเหมือนพระ
ขรรค์ที่ฟันไปทีละแผล อาจจะส่งผลกระทบไม่รุนแรง แต่ยังมีคดีของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าที่ ส.ส.ระบบสัดส่วนกลุ่ม 1 ของพรรคฯ
รวมทั้งการร้องเรียนคดีนอมินีโดยนายไชวัฒน์ สินสุวงศ์ ที่ศาลฎีกากำลังพิจารณา คือประเด็นที่พรรคพลังประชาชนกำลังกลัวมากกว่า
เนื่องจากอาจนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชนได้ ซึ่งจะเป็นเหมือนหอกโมขศักดิ์ที่ทำลายพรรคได้เลย
สถานการณ์ที่ยังขาดความแน่นอน เชื่อว่ากุนซือของพรรคจะต้องเตรียมการ พร้อมทั้งอ่านสถานการณ์เตรียมแผนรองรับ หากถึงขั้นยุบ
พรรค พรรคพลังประชาชนจะต้องใช้สิ่งที่มีค่าและทรงพลังมากที่สุด คือ ฐานมวลชนในภาคอีสาน และเหนือ ที่ถูกหล่อเลี้ยงไว้อย่าง
สม่ำเสมอ ขณะเดียวกันก็ต้องมีประเด็นให้มวลชนมีขวัญกำลังใจ ได้ตระหนักถึงชัยชนะ เลี้ยงเพื่อแปรผันเป็นม็อบ เพื่อสร้างฐานเสียง
เตรียมการเลือกตั้งใหม่ เป็นการซ่อนไพ่ตามสถานการณ์ โดยไพ่ที่เด็ดขาดที่ขาดคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นไพ่ใบสุดท้าย ซึ่งสถานการณ์
คงไม่ยังถึงขั้นทิ้งลงมา
ดังนั้นหากอ่านแบบมองยุทธศาสตร์ทางการเมือง กุนซือของพรรคพลังประชาชนที่รู้สึกถึงสถานการณ์กำลังไม่เป็นไปตามแนวทางที่
คาดไว้ จึงเดินเกมโดยใช้คุณหญิงพจมาน ให้เดินทางกลับมา ซึ่งมีแต่ได้กับได้ หากคุณหญิงพจมานไม่ได้รับความปลอดภัย หรือเจ้า
หน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงเข้าจับกุม จะเป็นบวกต่อพรรคพลังประชาชน ดังนั้นการกลับจึงไม่เป็นความลับ มีการติดต่อประสานงาน
ไว้ล่วงหน้า เกิดกระแสโดยไม่ต้องจ้างคน อาศัยสื่อมวลชนที่ค่อนข้างเอนเอียงนำเสนอ การกลับมาของคุณหญิงพจมานจึงถือเป็นไพ่
ใบรองสุดท้าย ของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ผู้ดำเนินรายการ ยังเชื่อว่า คดีของนายยงยุทธ นั้นมีเดิมพันสูงมาก นายยงยุทธ มีตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน หาก
ผิดก็อาจส่งผลกระทบไปที่พรรคโดยตรง ดังนั้นนายยงยุทธ จะต้องสู้เต็มที่แน่นอน อย่างไรก็ตามข้อเสียของนายยงยุทธ ที่อุตสาห์ไปร่ำ
เรียนต่อที่เมืองนอกหลังเกิดการรัฐประหาร คือเอาง่ายเข้าว่า เอาของฟรีเข้าไว้ก่อน เช่น การใช้รถตู้ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมที่เขาเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการ มาขนหัวคะแนน สมมุติพรรคพลังประชาชนถูกยุบจากใบแดงใบนี้ ก็อย่าไปโทษมือที่มอง
ไม่เห็น คนที่ต้องถูกลงโทษก็คือนายยงยุทธ
** “พล.ต.ต.ชัยยะ”ขอความเป็นธรรม กกต.
ในช่วงที่ 2 ของรายการ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึง พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ในฐานะหัวหน้าฝ่าย
สืบสวนสอบสวนของ กกต.ได้แถลงข่าวขอความเป็นธรรมที่ กกต.ว่า เนื่องมาจาก พล.ต.ต.ชัยยะได้รับการติดต่อจาก กกต.ให้ไปช่วยงาน
ในชุดสืบสวนสอบสวนมาเกือบปีแล้ว ซึ่งก็มีผลงานเป็นที่ชื่นชมของ กกต. จนต่อมา เมื่อมีการเสนอแผนปรับปรุงงานสืบสวนสอบ
สวนของ กกต.ปรากฏว่าแผนงานดังกล่าวไปติดอยู่ที่ กกต.ด้านกิจการสืบสวนสอบสวน(ภายใต้การดูแลของนายสมชัย จึงประเสริฐ) ทำ
ให้แผนงานไม่คืบหน้า ที่ประชุม กกต.จึงมีมติให้งานสืบสวนสอบสวนขึ้นต่อขึ้นต่อ กกต.กลางทั้ง 5 คน ไม่ต้องขึ้นกับ กกต.สืบสวน
สอบสวนแค่ฝ่ายเดียว ต่อมาก็มีพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ว่าพล.ต.ต.ชัยยะมีความสนิทสนมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนสุดท้ายพล.ต.ต.ชัยยะโดยส่วนตัวก็ไม่ได้ทำหน้าที่ใน กกต. แต่งานที่ทำอยู่เป็นเรื่องของกอง
บัญชาการตำรวจสันติบาล โดยขึ้นอยู่กับผู้บัญชาการฯ
ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า ในวันนี้(8ม.ค.) พล.ต.ต.ชัยยะเดินทางไปที่ กกต.ในฐานะรอง ผู้บัญชาการสันติบาล แต่ปรากฏว่า ไม่ได้รับ
อนุญาตให้เข้าร่วมฟังการสอบสวนคดีทุจริตเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ผู้สมัคร ส.ส.ระบบสัดส่วนพรรคพลังประชาชน ทั้งที่
เป็นคนทำคดีนี้มาแต่ต้น ดังนั้นจึงรู้สึกว่าถูกกระทำสถานเดียว จึงได้ถือโอกาสแถลงขอความเป็นธรรม
หลังจากนั้นผู้ดำเนินรายการได้เปิดเทปการแถลงของ พล.ต.ต.ชัยยะ ซึ่งมีใจความสรุปได้ว่า ตนได้รับการขอร้องให้มาช่วยงาน กกต.
และเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา กกต.ได้เชิญเข้าไปหารือและมีมติขอให้ตำรวจสันติบาล 700 นายไปช่วย กกต. โดยให้เป็นเจ้าพนักงาน
ตามกฎหมายเลือกตั้ง มีอำนาจสืบสวนสอบสวน และให้เก็บข้อมูลหลักฐานคู่ขนานไปกับเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนของ กกต.เมื่อ กก
ต.ขอให้มาช่วย ก็ให้ความร่วมมือทุกด้าน
พล.ต.ต.ชัยยะ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการทุจริตที่ จ.เชียงราย ได้ดำเนินการสืบสวนในเชิงรุก เมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นก็ได้นำ
เรื่องเข้าเสนอที่ประชุม กกต. โดยสันติบาลเห็นว่า การกระทำทุจริต มีรูปแบบที่แตกต่างจากที่อื่น เพราะมีหน่วยราชการหลายแห่งเข้า
ไปเกี่ยวข้อง มีการกระทำเป็นกระบวนการ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของพยาน จึงได้ขอต่อที่ประชุมว่าในการพิจารณาสำนวนนี้ขอให้
ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องประชุม ก่อนที่จะแจกสำเนาสำนวนการสอบสวนจำนวน 6 ชุดให้กับ กกต. 5 คนและเลขาธิการ กกต. เมื่อ
ชี้แจงเสร็จ กกต.ก็เห็นว่ามีมูลพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา และหลังนำเสนอแล้วก็ขอเก็บสำเนาสำนวนการสอบสวนคืนจากทุกคน แต่มี กก
ต.คนหนึ่งไม่ยอมคืน
ต่อมาในวันที่ 4 ม.ค. ก็มีคำสั่งจาก กกต.ให้ตนเข้าไปชี้แจงโดยระบุว่า มีการร้องเรียนจากนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค
พลังประชาชนว่า ตนไม่มีอำนาจในการสอบสวน ไม่มีความรู้ และวางตัวไม่เป็นกลางเนื่องจากรู้จักกับพรรคประชาธิปัตย์ และสื่อมวล
ชนบางคน ตนก็ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่าได้รับมอบอำนาจอย่างถูกต้องจาก กกต. และมีหนังสือส่งตัวตามขั้นตอนของสำนักงานตำรวจ
แห่งชาติทุกประการ ส่วนที่ว่าไม่มีความรู้ ตนก็เป็นอนุกรรมการวินิจฉัยของ กกต.มาเกือบ 1 ปีแล้วและยังเป็นวิทยากรอบรมพนักงาน
สืบสวนอีก แต่กลับมาบอกว่าตนไม่เป็นกลาง จึงต้องขอความเป็นธรรม เพราะใช้หนังสือร้องเรียนเพียงฉบับเดียว แล้วมาขอให้ตนไม่
เข้าร่วมรับฟังสำนวนคดีที่เชียงราย ถามว่ารับได้ไหม ความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน ตนเป็นเพียงเก็บรวบรวมวัตถุดิบ ไม่ใช่เป็นตัวชี้ขาด แต่
ถ้าหากเพื่อไม่ให้สังคมแตกแยกตนพร้อมยุติบทบาท
พล.ต.ต.ชัยยะ กล่าวต่อว่า ตนเป็นตำรวจมาหลายสิบปี มีเพื่อนพ้องน้องพี่ จะไม่ให้รู้จักใครได้อย่างไร ตนรู้จักกับใครไม่สำคัญ
ต้องดูว่ารู้จักแล้วเป็นธรรมหรือไม่ และการที่รู้จักใคร แล้วไม่ใช่ว่าจะเอนเอียงหรือไปขึ้นอยู่กับใคร
** ปลุก ส.ส.ชาติไทยแสดงจุดยืนวันโหวตนายกฯ
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่พรรคชาติไทยเปลี่ยนจุดยืนเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนว่า เมื่อดูจากปฏิกิริยาที่ออกมา
ทางสื่อต่างๆ พบว่า สร้างความเสียหายต่อพรรคชาติไทยอย่างมหาศาล ว่ากันว่าที่พรรคชาติไทยยอมกลืนน้ำลายตัวเองครั้งนี้ อาจจะไม่
ใช่แค่ได้ยินเสียงเคาะกะลาอย่างเดียว แต่มีคนพูดกันว่า มีการเอาตัวเลขมาล่อ กล่าวคือ จำนวน ส.ส.พรรคชาติไทยที่มี 37 คน เอา 20 คูณ
เข้าไป ส่วนที่ได้ใบแดงไป 2 ใบจะต้องคูณใหม่ด้วยหรือเปล่าไม่ทราบ รวมทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะนายสมัคร สถานภาพ
ค่อนข้างจะง่อนแง่น อาจจะเป็นนายกฯได้แต่ไม่ยืด
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า หาก ส.ส.ในพรรคชาติไทยยังเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้าง อยากให้แสดงจุดยืนวันลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในสภา
ซึ่งตามรัฐธรรมนูญใหม่กำหนดให้เป็นสิทธิของส.ส.แต่ละคน นายบรรหารบงการไม่ได้ ไม่ถูกผูกพันโดยอาณัติใดๆ ทั้งสิ้น เพราะ
ฉะนั้นถ้ายังมีสำนึกก็ขอให้แสดงออกในวันนั้น ซึ่งแม้จะยกมือให้คนอื่น แต่หัวหน้าพรรคก็ไล่ออกจากพรรคไม่ได้