xs
xsm
sm
md
lg

“ชัยยะ” แฉหนึ่งใน กกต.ไม่คืนสำนวนเชียงราย หลังถูกกันร่วมสอบ “ยุทธ ตู้เย็น”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล
รอง ผบช.สันติบาล แถลงขอความเป็นธรรม กกต. หลังถูกกันไม่ให้เข้าร่วมสอบสวนคดี “ยุทธ ตู้เย็น” ทุจริตเลือกตั้งเชียงราย ระบุมี กกต.คนหนึ่งไม่คืนสำนวนเชียงราย รับสนิทสื่อ-นักการเมือง เพราะเป็นตำรวจมานาน โดยเฉพาะ “เฉลิม” สนิทมากนับสิบปี ชี้รู้จักใครไม่สำคัญ อยู่ที่ว่ามีความเป็นธรรมหรือไม่

วานนี้ (8 ม.ค.) พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ได้แถลงข่าวที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาตกเป็นข่าวมาตลอดจึงขอชี้แจงถึงเหตุผลที่มาช่วยงาน กกต.ว่า เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับเชิญจาก กกต.ให้มาชี้แจงต่อ กกต.โดยด่วน ซึ่งไม่คิดว่า กกต.กำลังถกเรื่องความพร้อมในการสืบสวนสอบสวน โดย กกต.ให้สอบถามตนว่าทางสันติบาลมีบุคลากรพอช่วย กกต.ได้หรือไม่ ซึ่งก็ได้ชี้แจงว่า มีบุคลากรมากเพียงพอ กกต.จึงมีมติให้ตำรวจสันติบาล 700 นายมาช่วย กกต. โดยให้เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายเลือกตั้ง มีอำนาจสืบสวนสอบสวน และให้เก็บข้อมูลหลักฐานคู่ขนานไปกับเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนของ กกต.เมื่อ กกต.ขอให้มาช่วย ก็ให้ความร่วมมือทุกด้าน

พล.ต.ต.ชัยยะ กล่าวต่อว่า สำนวนแรกที่สันติบาลได้รับมอบหมายคือกรณี จ.เพชรบูรณ์ และ จ.มหาสารคาม เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ กกต.ได้มอบให้ดำเนินการต่อในส่วนของการทุจริตที่ จ.เชียงราย โดยได้ดำเนินการสืบสวนในเชิงรุก เมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นก็ได้นำเรื่องเข้าเสนอที่ประชุม กกต. โดยสันติบาลเห็นว่า การกระทำทุจริต มีรูปแบบที่แตกต่างจากที่อื่น เพราะมีหน่วยราชการหลายแห่งเข้าไปเกี่ยวข้อง มีการกระทำเป็นกระบวนการ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของพยาน จึงได้ขอต่อที่ประชุมว่าในการพิจารณาสำนวนนี้ขอให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องประชุม ก่อนที่จะแจกสำเนาสำนวนการสอบสวนจำนวน 6 ชุดให้กับ กกต. 5 คนและเลขาธิการ กกต. เมื่อตนชี้แจงเสร็จ กกต.ก็เห็นว่ามีมูลพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา และหลังนำเสนอแล้วก็ขอเก็บสำเนาสำนวนการสอบสวนคืนจากทุกคน แต่มี กกต.คนหนึ่งไม่ยอมคืน

ต่อมาในวันที่ 4 ม.ค.ก็มีคำสั่งจาก กกต.ให้ตนเข้าไปชี้แจงโดยระบุว่า มีการร้องเรียนจากนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนว่า ตนไม่มีอำนาจในการสอบสวน ไม่มีความรู้ และวางตัวไม่เป็นกลางเนื่องจากรู้จักกับพรรคประชาธิปัตย์ และสื่อมวลชนบางคน ตนก็ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่าได้รับมอบอำนาจอย่างถูกต้องจาก กกต. และมีหนังสือส่งตัวตามขั้นตอนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทุกประการ ส่วนที่ว่าไม่มีความรู้ ตนก็เป็นอนุกรรมการวินิจฉัยของ กกต.มาเกือบ 1 ปีแล้วและยังเป็นวิทยากรอบรมพนักงานสืบสวนอีก แต่กลับมาบอกว่าตนไม่เป็นกลาง จึงต้องขอความเป็นธรรม เพราะใช้หนังสือร้องเรียนเพียงฉบับเดียว แล้วมาขอให้ตนไม่เข้าร่วมรับฟังสำนวนคดีที่เชียงราย ถามว่ารับได้ไหม ความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน ตนเป็นเพียงเก็บรวบรวมวัตถุดิบ ไม่ใช่เป็นตัวชี้ขาด แต่ถ้าหากเพื่อไม่ให้สังคมแตกแยกตนพร้อมยุติบทบาท

“ตอนจะตั้งผมด่วนอย่างไรผมก็มา เพราะตั้งใจจะมาพยุงองค์กรนี้ แต่ตอนนี้กลับเอาหนังสือแค่ฉบับเดียวซึ่งไม่มีการตรวจสอบมาตัดสินผม ไม่ให้ผมเข้าร่วมรับฟังการชี้แจงสำนวน จ.เชียงราย ทั้งที่ผมทำมาตั้งแต่ต้น จะให้ผมยุติบทบาท ตามเรื่องเมื่อวันที่ 4 ม.ค. ผมก็ไม่ว่า แต่ผมก็ยังมีหน้าที่ต้องดูแลชุดสืบสวนที่มาจากสันติบาล และก็อยากจะถาม กกต.ว่าจะให้ผมยุติบทบาทชั่วคราวหรือจะถอดถอนผมออกจากตำแหน่งก็บอกมาเลย แต่ผมจะไม่ลาออกจากการเป็นอนุกรรมการวินิจฉัยเรื่องร้องคัดค้านเพราะเป็นคนละเรื่อง ”

เมื่อถามถึงกรณีถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นกลางเพราะสนิทแกนนำพันธมิตรบางคน พล.ต.ต.ชัยยะ กล่าวว่า ตนเป็นตำรวจ มีเพื่อนพ้องน้องพี่ จะไม่ให้รู้จักใครได้อย่างไร ตนรู้จักกับใครไม่สำคัญ ต้องดูว่ารู้จักแล้วเป็นธรรมหรือไม่ ส่วนพันธมิตรฯ รู้จักหลายคน แต่ถ้าถามถึงความสนิทสนม บอกได้เลยว่าตนก็สนิทสนมกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มาเป็นสิบๆ ปี สนิทขนาดที่ครั้งเมื่อ ร.ต.อ.เฉลิมถูกลอบทำร้ายต้องตามตนไปคุ้มครองพาไปส่งถึงบ้าน อย่าเอาการเมืองมาโยงกับเรื่องการทำงาน ที่อ้างว่าสนิทแล้วมีอะไร ถามกลับไปว่าเพราะคุณกลัวความจริงจะถูกเปิดเผยใช่หรือไม่

พล.ต.ต.ชัยยะ ยังปฏิเสธที่จะตอบว่าข่าวสำนวนทุจริตเชียงรายรั่วไปถึงนายยงยุทธ จนสามารถแก้ข้อกล่าวหาได้นั้นเป็นผลมาจากการที่ กกต.คนหนึ่งไม่ยอมคืนสำนวนนี้ใช่หรือไม่ โดยระบุว่า เรื่องนี้ไม่ขอตอบ เช่นกับไม่ขอตอบว่า สำนวนที่รั่วไปจะมีผลให้คำชี้แจงของนายยงยุทธมีน้ำหนักจน กกต.ต้องยกคำร้องหรือไม่

เมื่อถามว่ามติ กกต.ที่ให้สันติบาลเข้ามาช่วยงานสืบสวน มี กกต.เข้าประชุมครบ 5 คนหรือไม่ พล.ต.ต.ชัยยะ ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม พร้อมกับระบุว่าให้ไปดูเอกสารมติ กกต.ว่าใครไม่เข้าร่วมประชุม พร้อมกับแจกเอกสารดังกล่าวให้สื่อมวลชน ซึ่งในเอกสารเป็นมติ กกต.วันที่ 18 ธ.ค. ระบุมี กกต.เข้าร่วมประชุม 4 คน ยกเว้นนาย สมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยที่ท้ายมติบันทึกว่า ลาประชุมเนื่องจากป่วย

คำต่อคำ : การแถลงของ พล.ต.ต.ชัยยะ บางส่วน

“สิ่งแรกคือ ในวันที่ 18 ธันวา พ.ศ.2550 นั้น กระผมได้รับเชิญจากท่านคณะกรรมการ กกต.ให้มาชี้แจงในบอร์ด กกต.

สิ่งที่ผมมานั้น ผมก็ไม่คาดคิดว่าจะมีสิ่งที่ทางคณะกรรมการ กกต.กำลังดิสคัส(discuss) ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องความพร้อมของพนักงานสอบสวน เรื่องการทำสำนวนการสอบสวนเกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้งครั้งนี้นะครับ

เนื่องจากมีท่านเลขาฯ และรองเลขาฯ อยู่ในที่ประชุมด้วย จึงเรียกผมเข้ามาสอบถามว่า กรณีดังกล่าวนั้นถ้าในกรณี กกต.เอง พนักงานเจ้าหน้าที่ของส่วน กกต.ไม่สามารถดำเนินการทันได้เกี่ยวกับเรื่องสำนวนการสอบสวน ในส่วนของผมเองมีบุคลากรมากน้อยเพียงใด ผมก็กล่าวในที่ประชุมว่า ในส่วนของผมมีบุคลากรที่อยู่ประจำหน่วยทุกจังหวัด ซึ่งสามารถสนับสนุนภารกิจของ กกต.ได้ในส่วนหนึ่ง ในระดับหนึ่ง นะครับ ก็เลยมีการสอบถามในที่ประชุม

ทางเลขาฯ รองเลขาฯ ก็แจ้งว่า ก็ยินดีที่จะให้กองบัญชาการตำรวจสันติบาลเข้ามามีส่วนร่วม ในการช่วยงานของการสืบสวนสอบสวน ในเรื่องกรณีดังกล่าว

ประเด็นปัญหาก็คือ เราได้ดำเนินการเรื่อง จ.เชียงราย ซึ่งเป็นประเด็นปัญหา ณ วันนี้ ผมอยากจะนำเรียนที่ประชุมทราบว่า หลังจากที่มีการดำเนินการไปแล้ว เราก็นำข้อมูลเข้ามาพรีเซ็นต์ในบอร์ด ระหว่างการพรีเซ็นต์ ก่อนพรีเซ็นต์ในบอร์ด เราก็มีการพูดเจรจาว่า กรณีดังกล่าว ความผิดลักษณะนี้ มีรูปแบบการกระทำความผิด ซึ่งมีส่วนราชการหลายหน่วยงานที่มาเกี่ยวข้อง แล้วเป็นการกระทำความผิดที่เป็นกระบวนการ ซึ่ง เพราะฉะนั้น รูปแบบการสืบสวนสอบสวนนั้นจะต้องมีความละเอียดอ่อน และช่องทางต่างๆ ขอเป็นความลับ เพื่อรักษาพยานหลักฐาน หรือพยานบุคคล ความปลอดภัยเราคำนึงถึงที่สุด

ขณะเดียวกันที่ผมพรีเซ็นต์เสร็จ ท่านคณะกรรมการทุกท่านได้ดูเห็นภาพเป็นในรูปลักษณ์ทั้งหมดเสร็จ ก็เห็นควร คดีมีมูลให้มาแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งขั้นตอนอันนี้เราก็มีการแจ้ง แต่หลังจากการพรีเซ็นต์เสร็จเรามีการขออนุญาตเก็บเอกสารคืนทั้งหมด มีการเก็บเอกสารแต่ละท่านคืน ก็มีท่านนึงไม่ให้คืน ผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรนะครับในส่วนนี้

ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้ ผมอยากจะกราบเรียนที่ประชุม ผมไม่เคยสับสนข้อมูลของผม ผมพูดตามข้อเท็จจริงทั้งหมด

เผอิญวันที่ 4 มกราคม ที่ผ่านมา ก็มีท่านคณะกรรมการ กกต.เรียกผมเข้าไปชี้แจงในบอร์ด เข้าไปชี้แจงในบอร์ด บอกว่า ท่านทราบหรือยังว่า ผมมีเรื่องร้องเรียนเป็นหนังสือของพรรคพลังประชาชน โดยท่านสมัคร สุนทรเวช ได้ร้องเรียนกับผม 3 ข้อหาหลักใหญ่ๆ เป็นหลักเป็นการก็คือว่า 1.หาว่าผมไม่มีอำนาจในการสอบสวน แล้วผมไม่มีความรู้ความสามารถด้านการสอบสวน 2 ประเด็น ประเด็นที่ 3.บอกผมวางตัวไม่เป็นกลาง ในกรณีผมรู้จักกับพรรคประชาธิปัตย์ ก็ดี หรือสื่อมวลชนหลายแขนง ก็ดี

ผมอยากเรียนชี้แจงและทำความเข้าใจให้สื่อมวลชนผ่านพี่น้องประชาชนไปอย่างนี้นะครับ ประเด็นแรกก็คือ การที่กล่าวอ้างว่าผมไม่มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวน ซึ่งเป็นข้อมูลผิด

ผมก็เลยชี้แจงในที่ประชุมว่า ถ้าเป็นในลักษณะกล่าวอ้างอย่างนี้ เท่ากับผมไม่ได้รับความเป็นธรรมเลยนะครับ สิ่งที่ผมทำไป เขามอบมาให้ผมไปทำทุกอย่าง พอผมทำเสร็จมา บางเรื่องบางราวใกล้จะจบ เป็นเรื่องเป็นราวทุกเรื่อง ปรากฏว่า สิ่งที่สะท้อนออกมาคือว่า ต่อไปนี้คิดว่าหนังสือร้องเรียนฉบับเดียว ซึ่งยังไม่มีการดำเนินการอะไร แต่ขอร้องผมในที่ประชุมว่า ไม่ให้เข้าร่วมฟังการสอบสวน

ถามว่าผมรับได้ไหม ซึ่งผมคุมมาทั้งหมด แล้วผมทำมาทั้งหมด ในสิ่งนี้ผมถามว่า ความเป็นธรรมอยู่ตรงไหน ถึงมาจุดจุดหนึ่ง วันที่ 4 มาบอกผม ผมยินดีผมน้อมรับ บอกว่าในเรื่องนี้ ในส่วนผมเองไม่ต้องมายุ่ง ผมก็ยินดี ถ้าเป็นคำขอร้องต่างๆ เพื่อไม่ให้องค์กรแตกแยก หรือให้องค์กรเดินต่อไป ผมยินดียุติบทบาทในส่วนนี้ แต่กองบัญชาการผมก็ดำเนินการเรื่อยไป

อาชีพผมเป็นตำรวจ ผมเจอสื่อมวลชน เจอพรรคพวกผม ผมมีพี่น้องน้องพี่เยอะแยะไปหมด ผมโตมาขนาดนี้ ผมทำคดี ผมสัมผัสประชาชนมาเป็นร้อยเป็นพัน ลักษณะอย่างนี้จะไม่ให้ผมรู้จักใครได้หรืออย่างไร ผมถามแค่นี้

ประเด็นก็มีอยู่ว่า การที่ผมรู้จักใครแล้ว ถามว่าสิ่งที่ผมกำลังทำตรงนั้นมันเป็นธรรมหรือไม่ แค่นั้นเอง มันไม่ใช่ประเด็นการรู้จักแล้วผมจะต้องไปโอนเองให้ใคร หรือผมจะอยู่กับใคร นะครับ”


กำลังโหลดความคิดเห็น