กกต.ยอมรับช่องโหว่ กม.หากสอย เหลือง-แดง ส.ส.ระบบสัดส่วน มั่นใจ 11 ม.ค.ลงมติสอย “ยุทธ ตู้เย็น” ระบุ หากผลเกี่ยวโยงถึงพรรค ต้องสั่งตั้งอนุ กก.สอบสวนเพื่อนำไปสู่การพิจารณาเสนอยุบพรรค ขณะเดียวกัน ปัดเก็บสำนวนเชียงรายของ “ชัยยะ” เช่นเดียวกับ ปธ.กกต.
วันนี้ (9 ม.ค.) นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวก่อนเข้าประชุม กกต.ถึงกรณีการพิจารณาสำนวนร้องคัดค้าน นายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าที่ ส.ส. แบบสัดส่วน กลุ่มจังหวัดที่ 1 พรรคพลังประชาชน ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยกำลังสรุปข้อมูลที่ได้รับจากการชี้แจงของนายยงยุทธ และพยานที่นำเข้ามาสืบ หากข้อมูลพร้อมเมื่อใด ก็จะเสนอเข้ามายัง กกต.อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ กกต.ยังไม่ได้มีการพิจารณากรณีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า รถตู้ที่ นายยงยุทธ ใช้เป็นรถของกระทรวงจริง โดย กกต.จะพิจารณาไปพร้อมกัน หากเป็นความผิดว่า ความผิดนั้นเป็นความผิดส่วนบุคคล หรือความผิดที่อาจเชื่อมถึงพรรคพลังประชาชน เพราะนายยงยุทธ มีฐานะเป็นรองหัวหน้าพรรคกระทำอาจส่งผลถึงขั้นยุบพรรคได้ “เรื่องนี้ถูกรายงานเข้ามานานแล้ว จึงพอมองเห็นว่าอะไรเป็นอะไรและเชื่อมโยงไปถึงไหน รวมทั้งผ่านการพิจารณามาหลายครั้ง”
ส่วนที่ นายยงยุทธ แถลงว่า เรื่องทั้งหมดเป็นการจัดฉากนั้น ก็ถือเป็นความคิดของนายยงยุทธ ยืนยันว่า กกต.ต้องมีหลักฐานที่เพียงพอที่จะอธิบายต่อสังคมได้แน่นอน และหาก กกต.มีมติให้ยุบพรรคพลังประชาชนจริง กกต.ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจาณาต่อไป
เมื่อถามว่า หาก กกต.มีมติให้ใบเหลือง นายยงยุทธ กกต.จะมีขั้นตอนเกี่ยวกับ ส.ส.แบบสัดส่วนต่อไปอย่างไร นายอภิชาต กล่าวว่า เรื่องนี้มีปัญหามาก เพราะไม่สามารถจัดเลือกตั้งใหม่ได้และไม่สามารถเลื่อนลำดับถัดไปขึ้นมาแทนได้ ดังนั้น เราต้องคำนวณคะแนนกันใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควร เพราะถือว่าเป็นกรณีแรก อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุป
ประธาน กกต.ยังกล่าวถึงกรณี พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ว่า กกต.เข้าใจว่า พล.ต.ต.ชัยยะ มีความตั้งใจในการทำงาน แต่ในเมื่อ พล.ต.ต.ชัยยะ ขอถอนตัวไปแล้ว จึงได้เชิญเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีการทุจริตการเลือกตั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม งานของ กกต.ได้รับความช่วยเหลือและความร่วมมือจากสำนักงานตำรวจสันติบาลเป็นอย่างมาก ทำให้คดีการทุจริตการเลือกตั้งกว่า 100 เรื่องสำเร็จไปได้ด้วยดี
ส่วนกรณีที่ พล.ต.ต.ชัยยะ ระบุว่า มี กกต.บางคนไม่ยอมคืนสำนวนเชียงรายนั้น นายอภิชาต กล่าวว่า เป็นเรื่องที่พูดกัน แต่ว่ามีหลักฐานหรือไม่ และอย่างไร ซึ่งตนไม่ขอแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ ส่วนเสียงวิพากษ์วิจารณ์นั้น ก็พูดกันไปได้ แต่ตนไม่ได้เอาไปแน่นอน เรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวกับตน และหากมีการเก็บไปจริงๆ ก็ไม่ได้อะไร เพราะเป็นเพียงเอกสารการประชุม และตามปกติก็หยิบออกมาจากที่ประชุมกันอยู่แล้ว
สำหรับที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า มีการรั่วไหลของสำนวนไปถึงนายยงยุทธ หลัง กกต.บางคนไม่คืนสำนวนนั้น นายอภิชาต ถามกลับว่า “แล้วทราบกันหรือยังว่าใครเป็นคนเอาไป ก็อย่างที่บอก ต้องไปถามแต่ละท่านเอาเอง และผมปฏิเสธแล้วว่าไม่ใช่ผม”
“เราคำนึงมากเรื่องความเป็นกลาง ทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างโปร่งใสและเที่ยงธรรมที่สุด เราไม่เข้าใครออกใคร ไม่มีเสียงตำหนิไปในทางที่ดี ทั้งนี้ ท่าน (พล.ต.ต.ชัยยะ) ถอนตัวออกไปเอง เราไม่ได้ไปบังคับหรือไม่สั่งอะไรท่าน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ น่าจะน้อยลงหรือหมดไป เพราะเราทำไปตามพยานหลักฐานที่ได้มาจริงๆ” นายอภิชาต กล่าว
นายอภิชาต ยังกล่าวด้วยว่า ในกรณีการสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายสุนทร วิลาวัลย์ รองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย และว่าที่ ส.ส.เขต 1 จ.ปราจีนบุรี ทางเจ้าหน้าที่ กกต.ก็กำลังพิจารณาอยู่ว่าการกระทำที่เกิดขึ้นเชื่อมโยงไปถึงพรรคมัชฌิมาธิปไตยหรือไม่
ด้าน นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงการพิจารณาสำนวนร้องคัดค้านของนายยงยุทธ ว่า ต้องดูว่า ภายหลังจากที่ นายยงยุทธ นำพยานมาให้ปากคำ 1 ปากแล้วยังจะต้องการให้บุคคลอื่นเข้าชี้แจงอีกหรือไม่ แต่คาดว่า ในวันที่ 11 ม.ค.นี้ กกต.จะสามารถพิจารณาและลงมติได้ว่า จะให้ใบเหลือง-ใบแดง หรือยกคำร้อง ดังนั้น กกต.จะต้องแยกพิจารณาในความผิดส่วนตัวและความผิดในฐานะกรรมการบริหารพรรค
“สมมติว่า หากการพิจารณาแล้วพบว่า นายยงยุทธ ได้ใบแดง กกต.จะตั้งคณะอนุกรรมการ ขึ้นมาอีกชุดหนึ่งเพื่อตรวจสอบว่า ความผิดจะโยงถึงพรรคหรือไม่ เช่นเดียวกับกรณีปลอมแปลงลายเซ็นของ นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ได้นอกจากจะให้ดำเนินคดีอาญาแล้ว ยังได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาดูว่าความผิดถึงผู้บริหารของพรรคหรือไม่ ทั้ง 2 เรื่องนี้ก็จะสอบสวนว่า ถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่” นางสดศรี กล่าวและว่า จากที่ได้ดูสำนวนจากฝ่ายสืบสวนสอบสวน วัตถุพยาน และหลักฐานอื่น คิดว่าเพียงพอให้วินิจฉัยได้ ซึ่งขณะนี้ได้ให้เจ้าหน้าทีฝ่ายสืบสวนสอบสวนของ กกต.ไปร่วมสอบปากคำ ร่วมกับคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของสันติบาล ในส่วนของพยานของ นายยงยุทธ และเมื่อฝ่ายสืบสวนสรุปสำนวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว กกต.ก็จะพิจารณารับฟังการสรุปของทั้งสองฝ่าย ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องถามสันติบาลว่า จะยืนยันตามคำวินิจฉัยเดิมของตัวเองอยู่หรือไม่ เรื่องนี้ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว ส่วนตัวเท่าที่ได้ฟังนายยงยุทธชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากต้องฟังการสอบปากคำพยานอีก 8 ปาก และจะพิจารณาอีกครั้งว่า กกต.จะมีมติอย่างไร
นางสดศรี กล่าวอีกว่า ในการพิจาณาลงมติในเรื่องดังกล่าว ยอมรับว่า กฎหมายของ กกต.ยังมีช่องโหว่ เพราะเราไม่สามารถที่จะสั่งเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) ได้ ดังนั้น เรื่องนี้หากสอบไปแล้วมีการกระทำแต่ไม่เกี่ยวกับผู้สมัคร ทำให้ กกต.พิจารณา และลงมติไม่ได้ เราก็อาจจะยื่นให้กฤษฎีกาตีความ นอกจากนี้ ในส่วนที่ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยืนยันว่านายยงยุทธได้ประสานขอรถตู้ไปใช้จริงนั้น หากท่านมีความพร้อมก็มาให้ข้อมูลได้
ส่วนกรณีที่ พล.ต.ต.ชัยยะ ออกมาระบุว่า การพิจารณากรณี นายยงยุทธ กกต.ไม่อนุญาตให้ พล.ต.ต.ชัยยะ ร่วมสอบสวนในที่ประชุมว่า ปกติ กกต.จะไม่อนุญาตให้ผู้ทำสำนวน ร่วมสอบในการประชุม กกต.อยู่แล้ว และเรื่องนี้เราก็ได้รับการร้องเรียนว่า พล.ต.ต.ชัยยะ ไม่มีความเป็นกลางทางการเมือง ใกล้ชิดกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อมีข้อกล่าวหาก็จำเป็นต้องให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาออกจากการสอบสวน โดยสำนวนการทุจริตที่เชียงรายเราก็ได้ส่งพนักงานสืบสวนฯ จาก กกต.ส่วนกลางเข้าไปประกบในการทำสำนวนด้วย
นางสดศรี กล่าวอีกว่า ความจริงการสอบสวนในขั้นตอนของ กกต.จะไม่ให้ผู้ทำสำนวนเข้าซักค้านด้วย แต่ กกต.จะเป็นฝ่ายซักถามเอง ส่วนผู้ที่ทำสำนวนมีหน้าที่เพียงรับฟังการชี้แจงเท่านั้น และคดีนี้พนักงานสอบสวนของ กกต.ก็เป็นผู้ทำสำนวนด้วย และ กกต.หลายคนก็ได้ซักถามรายละเอียด ซึ่งการประชุม กกต.ครั้งนี้ก็มีการอัดเทปไว้ทุกขั้นตอน
“การประชุมครั้งนี้นายสมชัย (จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนฯ) ไม่ได้เข้าร่วมประชุม แต่ก็ถือเป็นสิทธิของนายสมชัย เชื่อว่า ทุกคนก็ย่อมมีเหตุผลของแต่ละคน โดยเรื่องนี้สื่อมวลชนควรไปถามนายสมชัย เองว่า เหตุใดจึงไม่เข้าร่วมประชุมและการแจกใบแดงของพรรคพลังประชาชนที่ผ่านมานายสมชัยก็ไม่ได้เข้าร่วม”
นางสดศรี กล่าวว่า เรื่องนี้ พล.ต.ต.ชัยยะ อย่าพูดผ่านสื่อ กกต.คงไม่ไปเสาะแสวงหาข้อเท็จจริง จึงไม่เกิดผลทั้งที่จริงท่านสามารถยื่นคำร้องเข้ามาได้ หากคิดว่ามีการรั่วไหลของเอกสารสำนวนของนายยงยุทธ ซึ่ง กกต.ก็พร้อมที่จะตรวจสอบหาข้อเท็จจริงว่าเอกสารอยู่ที่ใคร แต่ตอนนี้เราคงไม่มีการสอบถามในที่ประชุม เพราะถือเป็นสิทธิของแต่ละท่าน
นางสดศรี ยังกล่าวอีกว่า ส่วนตัวได้คืนเอกสารดังกล่าวให้กับ พล.ต.ต.ชัยยะ ไปแล้ว ตนไม่มีความจำเป็นต้องเก็บเอกสารไว้กับตัว เพราะเป็นเอกสารลับ ประกอบกับสำนวนดังกล่าวที่สันติบาลเสนอเข้าที่ประชุมก็เพียงการรายงานเบื้องต้นให้ที่ประชุม กกต.ได้รับทราบ ยังไม่ใช่เป็นเอกสารที่สรุปเพื่อให้ กกต.พิจารณา หลังจากคืนเอกสารเรียนร้อย ตนออกจากห้องจึงไม่ทราบว่า กกต.คนใดที่ยังไม่คืนเอกสารดังกล่าว ดังนั้นเรื่องนี้ต้องไปถาม พล.ต.ต.ชัยยะ ว่า ใน กกต.4 คน ใครที่ยังไม่ได้คืนเอกสาร และหาก พล.ต.ต.ชัยยะ ยังติดใจสงสัยก็สามารถทำหนังสือร้องเรียนเข้ามายังที่ประชุม กกต. ตามกระบวนการได้ เพื่อให้ กกต.พิจารณา หรืออาจจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว
เมื่อถามว่า นายยงยุทธ ระบุว่า การทำสำนวนครั้งนี้มีการจัดฉาก นางสดศรี กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีการพิสูจน์ว่า กรณีที่มีข้อกล่าวหาว่า กำนันเดินทางมาพบนายยงยุทธนั้นเหตุใดจึงได้นำรถตู้ของทางราชการมาใช้ มีข้อน่าสังเกตว่ารถหลวงเข้ามาเกี่ยวข้องในฉากนี้ได้อย่างไร อย่างไรก็ตามกรณีนี้ตนไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด เพราะถือเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้วินิจฉัย
ส่วน นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.กล่าวถึงกรณีว่าที่ ส.ส.สัดส่วนอาจถูกใบเหลืองว่า ขณะนี้ได้ให้สำนักบริหารเลือกตั้ง และสำนักกฎหมายพิจารณาอยู่ แต่หากยังไม่ชัดเจนอาจจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อเสนอความเห็นต่อ กกต.ต่อไป สำหรับจำนวนของสำนวนร้องคัดค้านที่เข้ามายังกกต.ขณะนี้มีทั้งสิ้น 232 เรื่องแบ่งเป็นเรื่องที่ กกต.พิจารณาแล้วเสร็จ 110 เรื่อง รอผลการสอบเพิ่มเติม รวมทั้งแจ้งข้อกล่าวหา 38 เรื่อง และที่อยู่ในกระบวนการการพิจารณาของ กกต.84 เรื่อง ซึ่ง 84 เรื่องส่วนใหญ่เป็นเรื่องร้องคัดค้านหลังวันที่ 23 ธ.ค.โดยแยกเป็นเรื่องของ ส.ส.ที่สอบผ่าน และ ส.ส.ที่สอบตก
“ขณะนี้ได้มอบหมายให้รวมเรื่องร้องคัดค้านทั้งหมดให้เป็นปัจจุบัน และยังมีสำนวนอีกประมาณ 160 เรื่องที่มีการแจ้งเข้ามา แต่ กกต.ยังไม่รับเป็นเรื่องร้องคัดค้านเพิ่มเติม ทั้งนี้ อาจตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อกลั่นกรองสำนวนก่อนให้ กกต.พิจารณา เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว”
นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่ผู้สมัครของพรรคจะได้รับการเลือกตั้งในการเลือกตั้งใหม่ ว่า พรรคประชาราช ไม่ได้มีความคาดหวังในพื้นที่ดังกล่าว แต่หากได้ที่นั่ง ส.ส.เพิ่มเติมก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะได้มาจากความบริสุทธิ์ ไม่มีนโยบายใช้เงินในการซื้อเสียง และส่วนตัวไม่ได้รู้สึกกังวลต่อการพิจารณาใบเหลือง-ใบแดงของ กกต.แค่อยากขอให้ทำตามกรอบของกฎหมาย ส่วนความชัดเจนเรื่องจับขั้วจัดตั้งรัฐบาล นายเสนาะ ยืนยันว่า พรรคประชาราช พร้อมจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ได้ และเห็นว่าพรรคที่มีเสียงข้างมาก ก็ควรเป็นรัฐบาลเพราะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ทั้งนี้ ยังขอย้ำแนวคิดเดิม คือ ให้พลังพลังประชาชน และพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือเป็น 2 พรรคการเมืองใหญ่ จับมือกันจัดตั้งรัฐบาล ส่วนพรรคการเมืองเล็กๆ แบบตนก็เป็นฝ่ายค้านไป
ส่วนกรณีที่องค์กรประชาธิปไตยภาคประชาชน ยื่นเรื่องร้องคัดค้าน ว่า นายเสนาะ และ ส.ส.ตระกูลเทียนทอง อีก 2 คน ได้ซื้อเสียงในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว นายเสนาะ ได้ขึ้นเสียงทันทีและกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า เป็นการแบล็กเมล์ และขอให้ผู้สื่อข่าวไปสืบดูว่าผู้ที่ร้องเรียนมีประวัติและมีการแสวงหาผลประโยชน์อย่างไร