“ยามเฝ้าแผ่นดิน” เชื่ออดีตคนทีไอทีวีชะลอสมัครเข้าทีพีเอส หวังรอดูอัตราเงินเดือนก่อน พร้อมชี้ ปชป.อึดอัด “ไชยวัฒน์” ไม่ถอนฟ้องเลือกตั้งโมฆะ หวั่นถูกครหา “ขี้แพ้ชวนตี” แฉเบื้องหลัง “เพื่อแผ่นดิน” ร่วมผสม พปช.หลังต่อรอง 3 กระทรวงขุมทรัพย์ “พลังงาน-อุตสาหกรรม-ไอซีที” เผย “ดร.เสรี” เสียใจอย่างหนัก “เติ้ง” พลิกลิ้นจูบปาก“พลังแม้ว”
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 16 มกราคม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงบรรยากาศการเปิดรับสมัครพนักงานชั่วคราวขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) แต่ยังไม่มีพนักงานไอทีวีมาสมัคร เนื่องจากต้องการรอฟังคำตัดสินของศาลปกครองกลางก่อนว่า จะมีคำสั่งคุ้มครองหรือไม่
พนักงานทีไอทีวีกำลังเข้าใจตัวเองผิด วันนี้คลื่นความถี่ก็ไม่ใช่ของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) การที่กรมประชาสัมพันธ์ว่าจ้างพนักงานไอทีวีเก่าเข้ามาช่วยรับผิดชอบในช่วงหลังจากยึดคลื่นคืนใหม่ๆ ก็เนื่องจากพนักงานไอทีวีเป็นคนที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว จึงสามารถเข้ามารับช่วง แต่เมื่อกฎหมายทีวีสาธารณะมีผลบังคับใช้ และแปลงสภาพทีไอทีวีไปเป็นทีวีสาธารณะ พนักงานเหล่านั้นก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดด้วย ขณะเดียวกันไทยพีบีเอสก็ต้องเปิดกว้างให้กับบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงาน
การที่พนักงานทีไอทีวีไม่เดินทางมาสมัคร โดยอ้างรอผลคำตัดสินของศาลปกครองกลาง ก็ใช่ว่าจะเป็นประเด็นหลัก เชื่อว่าพนักงานเหล่านั้นกำลังรอดูอัตราค่าจ้างของไทยบีพีเอส เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับอัตราค่าจ้างที่ได้รับเมื่อครั้งอยู่ไอทวี ซึ่งมีข้อมูลว่าอัตราค่าจ้างนั้นสูงมาก ดังนั้นจึงอยากฝากความหวังไปถึงบุคคลากรไทยบีพีเอส ไม่ว่าจะเป็นประธาน หรือรักษาการผู้อำนวยการ ขอให้สร้างความเชื่อมั่น และความเป็นธรรมขึ้นมาเพื่อเป็นมาตรฐานต่อไป
**จับตา 18 ม.ค.จุดเปลี่ยนการเมืองไทย
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งนัดฟังคำชี้ขาดคดีนอมินีในวันศุกร์ที่ 18 มกราคม ตามที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ยื่นฟ้องว่า หากศาลมีคำพิพากษาว่าคำร้องของ นายไชยวัฒน์ มีน้ำหนักโดยในประเด็นเรื่องพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย อาจหมายถึงจุดเปลี่ยนสถานการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับผลคำพิพากษาด้วย
อย่างไรก็ตาม คำร้องที่ขอให้การเลือกตั้งทั่วไป 23 ธันวาคมเป็นโมฆะได้สร้างความหนักใจแก่ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ไม่น้อย เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นชนวนทำให้พรรคถูกมองว่า ตีรวนทางการเมือง ขี้แพ้ชวนตี ถูกผู้คนก่นด่าทั่วเมือง จนทำให้เสียคะแนนนิยมหมดโอกาสที่จะพลิกฟื้นสถานการณ์กลับมาเป็นต่อ ทำให้ก่อนหน้านี้ผู้บริหารพรรคโดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ออกมาแสดงความเห็นคัดค้านและเรียกร้องให้ นายไชยวัฒน์ ถอนฟ้องเฉพาะในประเด็นที่ขอให้การเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 23 ธันวาคมเป็นโมฆะ
ทั้งนี้ ผู้ดำเนินรายการยังมองว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังสานสัมพันธ์กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นคำร้องของนายไชยวัฒน์ จึงเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์อึดอัดเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายการพิจารณาก็จะไปจบที่ศาล หากศาลพิจารณาแล้วก็ไม่สามารถทำอะไร เพราะการท้วงติงอำนาจตุลาการในประเทศไทยนั้นทำไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาทางใดทุกฝ่ายต้องเคารพ
** แฉ “เพื่อแผ่นดิน” ได้ 3 เก้าอี้งาม “พลังงาน-อุตสาหกรรม-ไอซีที”
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงมติของพรรคเพื่อแผ่นดินที่จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนว่า การที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรค อ้างว่าเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และลดความขัดแย้ง โดยไม่มีการต่อรองตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเด็ดขาดนั้น เป็นเพียงเหตุผลบังหน้า และเป็นเหตุผลที่น่าเบื่อ
“ทำไมคุณสุวิทย์ไม่บอกว่า ที่พรรคเพื่อแผ่นดินเข้าร่วม เพราะสามารถตกขอ 3 กระทรวงคือ พลังงาน อุตสาหกรรม และไอซีทีได้มาแล้ว เป็น 3 กระทรวงนี้ใช่หรือไม่ ให้ตอบประชาชนมา อย่ามัวตลบตะแลง ที่คุณสุวิทย์ว่า ไม่ได้ต่อรองตำแหน่งรองนายกฯ ก็อาจจะถูก เพราะได้ 3 กระทรวงที่เป็นแหล่งผลประโยชน์มหาศาลมาแล้ว กระทรวงพลังงานก็เกี่ยวข้องกับ ปตท. กฟผ. กระทรวงอุตสาหกรรม ก็มีความสำคัญที่จะทำให้ชาติอยู่ได้ ส่วนไอซีทีก็ร็กันว่ามีผลประโยชน์มหาศาล นี่ใช่ไหมที่พรรคเพื่อแผ่นดินยอมไปร่วม” ผู้ดำเนินรายการกล่าว
อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินรายการมองว่า ในพรรคเพื่อแผ่นดิน ยังมีคนที่ยืนหยัดในจุดยืนเดิมคือนายวัฒนา อัศวเหม ประธานที่ปรึกษาพรรค ซึ่งต้องการจะให้พรรคพลังประชาชนประกาศยอมทำตามเงื่อนไข 5 ข้อที่ร่วมกับพรรคชาติไทยเสนอไปก่อนหน้านี้ อย่างเป็นทางการก่อน แต่ก็ยอมรับว่าพรรคชาติไทยได้ตัดสินใจจะร่วมรัฐบาลไปก่อนแล้ว เพียงแต่มีมารยาทจึงรอประกาศร่วมกันกับพรรคเพื่อแผ่นดินก่อน
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อแผ่นดินนั้น นับแต่ก่อตั้งมาไม่เคยแสดงจุดยืนว่าจะเป็นศัตรูกับพรรคพลังประชาชน ส่วนใหญ่จะพูดแต่เรื่องการสมานฉันท์ ไม่ขัดแย้งกับใคร ทำให้ไม่จำเป็นจะต้องแสดงจุดยืนว่าจะไม่ร่วมกับพรรคพลังประชาชน และไม่ได้ถูกต่อว่าเมื่อเทียบกับพรรคชาติไทย ประชาราช และมัชฌิมาฯ ที่เคยประกาศว่าจะไม่ร่วมงานกับพรรคพลังประชาชนก่อนหน้านี้
“แรกๆ คนมักจะมองคุณวัฒนาในเชิงลบ แต่กาลเวลาพิสูจน์ได้พิสูจน์แล้วว่า ท่านกลายเป็นคนที่ยืนหยัดหนักแน่นที่สุด เพียงแต่ไม่สามารถที่จะขวางมติส่วนใหญ่ในพรรคได้ ซึ่งทุกคนในพรรครู้ว่าคุณวัฒนาไม่อยากไปร่วมกับพรรคพลังประชาขน อย่างน้อยเวื่อนไข 5 ข้อก็ยังไม่มีการตอบรับอย่างเป็นทางการ ขณะที่พรรคชาติไทยตัดสินใจไปก่อนแล้ว”
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า ประเด็นที่น่าสนใจคือ นักการเมืองเหล่านี้จะได้อะไร ทำไมจึงกระสันต์ที่จะเข้าร่วมกับพรรคพลังประชาชน ในพรรคเพื่อแผ่นดินนั้น แม้แต่ ส.ส.ระบบสัดส่วนคนเดียวของพรรค ม.ร.ว.หญิง กิตติวัฒนา ปกมนตรี ไชยยันต์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 ก็อ้างเหตุผลว่าที่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน เพราะมีเจตนาเดียวกันในการพิทักษ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และต้องการให้เกิดความสงบสันติ รวมทั้งยังบอกว่าควรให้โอกาสนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ซึ่งทำให้บางคนในที่ประชุมพรรครับไม่ได้ นอกจากนายวัฒนา อัศวเหม แล้ว ยังมี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ถึงกับเดินออกจากห้องประชุมไป ซึ่งนี่อาจจะเห็นสาเหตุที่ทำให้มติการเข้าร่วมรัฐบาลออกมาอย่างเป็นเอกฉันท์
ผู้ดำเนินรายการ ย้ำว่า คำพูดของนักการเมืองที่อ้างเหตุผลการเข้าร่วมรัฐบาลนั้น เป็นแค่คำพูดหรูๆ ที่พูดให้ดูดี แต่เบื้องหลังคือการต่อรองผลประโยชน์ รวมทั้งคำแถลงของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยที่จะมีขึ้นในเวลา 20.00 น. ของวันที่ 17 ม.ค.นี้ เช่นกัน ซึ่งนายบรรหารน่าจะพูดออกมาตรงๆว่า เป็นเพราะต่อรอง 2 รัฐมนตรีรีว่าการ คือ เกษตรฯ กับศึกษาธิการ และอีก 4 รัฐมนตรีช่วยว่าการได้แล้ว ใช่หรือไม่
**ดร.เสรีเสียใจอย่างแรง “เติ้ง” พลิกลิ้น
ในช่วงท้าย ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึง ดร.เสรี วงศ์มณฑา ที่เป็นที่ปรึกษาให้กับพรรคชาติไทย และที่ผ่านมาได้ยืนหยัดต่อสู้กับระบบทักษิณร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเอเอสทีวีอย่างเด็ดเดี่ยวมาตลอดว่า หลังจากที่พรรคชาติไทยแสดงท่าทีจะเข้าร่วมรัฐบาลแล้ว ทำให้ ดร.เสรีเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะช่วงก่อนเลือกตั้งได้ทุ่มเทต่อสู้เพื่อที่จะพูดถึงความเลวร้ายของระบอบทักษิณผ่านทางทีวีช่องต่างๆ ให้มากที่สุด รวมทั้งได้แก้ต่างให้กับนายบรรหาร ตอนที่ไปหาเสียงที่ภาคอีสานและบอกว่าไม่ได้จับขั้วกับประชาธิปัตย์
นอกจากนี้ ดร.เสรียังยืนยันว่านายบรรหารจะไม่ทำให้ผู้ใหญ่ที่เคารพมา 30 ปีต้องผิดหวังตามที่นายบรรหารได้แถลงเอาไว้ ถึงขั้นตำหนิการ์ตูนที่เขียนล้อว่าผู้ใหญ่ของนายบรรหารคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
“อาจารย์เสรีได้ต่อสู้ทุ่มเทกับเอเอสทีวีอย่างมาก ในช่วงหนึ่ง ท่านถึงกับท้อใจ เพราะเห็นโพลและกระแสข่าวที่ออกมา แล้วปรากฏว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม ท่านถึงกับหลั่งน้ำตาทางหน้าจอโทรทัศน์ และไม่ใช่แต่อาจารย์เสรีคนเดียวที่หลงเชื่อคุณบรรหาร คนอื่นๆ รวมถึงคำนูณ สิทธิสมาน ก็เคยหลงเชื่อบรรหาร”
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ดร.เสรีเสียใจสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่รู้จะทำอย่างไร และเสียใจมากจนไม่อยากมาจัดรายการที่เอเอสทีวี แม้ว่าพวกเราทั้งหมดยังให้กำลังใจ และเชื่อมั่นในความกล้าหาญตั้งใจและทุ่มเทของอาจารย์ และอยากให้มาจัดรายการเหมือนเดิม และเชื่อว่าประชาชนจำนวนมากต้องการให้ ดร.เสรีมาพูด เพราะเข้าใจสถานการณ์ที่ ดร.เสรีประสบอยู่เป็นอย่างดี และอยากจะฟังเสียง ดร.เสรีวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้คืออะไร
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2
( 56 k ) | ( 256 K )