“ยามเฝ้าแผ่นดิน” ชี้ชัด 5 เงื่อนไข “ชาติไทย-เพื่อแผ่นดิน” แค่ข้ออ้างบังหน้า หลังแถลงร่วมรัฐบาลทั้งที่ พปช.ยังไม่ประกาศยอมรับ เตือนสติ “บรรหาร” เข้าร่วมงานกับคนจาบจ้วงผู้ใหญ่ที่เคารพ จะเอาหน้าไปไว้ไหน เชื่อวีซีดีมัด “พลังแม้ว” เป็นนอมินี แต่ขึ้นอยู่กับศาลจะพิพากษาตามข้อกฎหมาย
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 17 มกราคม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงการแถลงของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยและนายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินที่จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ซึ่งเมื่อดูสถานการณ์ขณะนี้ เห็นชัดว่าเงื่อนไข 5 ข้อที่พรรคชาติไทยและเพื่อแผ่นดิน เสนอให้พรรคพลังประชาชนยอมรับก่อนนั้น ไม่ใช่เงื่อนไขที่แท้จริง
เพราะขณะนี้ พรรคพลังประชาชนยังไม่ประกาศยอมรับเงื่อนไข 5 ข้ออย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคฯ ถึงกับออกมาชี้ว่า ทั้ง 5 ข้อเป็นคนละประเด็นกันกับเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล การจัดตั้งรัฐบาลขึ้นอยู่กับนโยบายของพรรคและแนวทางทางการเมือง จึงเป็นการปฏิเสธเงื่อนไขอย่างชัดเจน
ดังนั้น การที่นายบรรหารประกาศร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ทั้งๆ ที่เงื่อนไข 5 ข้อ ยังไม่ได้ตอบรับ จึงเป็นไปได้ว่าตัวนายบรรหารนั่นเองที่อยากเข้าร่วมรัฐบาลมากกว่าพรรคเพื่อแผ่นดิน แต่ใช้กลเม็ดชั้นเชิง โดยเฉพาะตอนที่ป่วยกะทันหันแล้วเข้าโรงพยาบาลนั้นน่าจะเป็นการเปิดทางให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แกนนำพรรคพลังประชาชนเข้าเยี่ยม กลายเป็นเวทีเจรจาต่อรองทันที
หากพรรคชาติไทยยึดเงื่อนไข 5 ข้อ เป็นเหตุผลหลักในการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล ประชาชนต้องได้ยินการประกาศรับเงื่อนไขของพรรคพลังประชาชนอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ไปซุบซิบกันในโรงพยาบาล ซึ่งหากไม่ประกาศปล่อยเรื่องเงียบหายไป แล้วยังไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลอีก ก็เท่ากับว่า นายบรรหาร เอาเงื่อนไข 5 ข้อ เป็นเหตุผลบังหน้า ยกมาเพื่อให้ตัวเองดูดีเท่านั้น
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการยังนำเทปบันทึกภาพของนางสาวกัญจนา ศิลปอาชา บุตรสาวของนายบรรหาร ระหว่างการเปิดแถลงข่าวตอบโต้นายนพดล ปัทมะ อย่างรุนแรง หลังจากนายนพดลกล่าวหาว่านายบรรหารต่อรองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากย้อนกลับไปในขณะนั้นดูเหมือนพรรคชาติไทยและพรรคพลังประชาชนคงไม่สามารถร่วมรัฐบาลกันได้
แต่วันนี้ทิศทางกลับเปลี่ยนไป ว่ากันว่านางสาวกาญจนาอาจได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีรัฐมนตรีว่าการคือนายนพดล ดังนั้นการที่นางสาวกัญจนา ออกมาย้ำอยู่เสมอก็เชื่อถือไม่ได้ เท่ากับว่าพรรคชาติไทยยังไม่สามารถสลัดภาพพรรคการเมืองปลาไหลออกได้
“พรรคชาติไทยทำได้แม้กระทั้งให้ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดเชียงรายไปถอนคำร้องซื้อเสียงของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เรื่องง่ายๆ ที่จะนำไปสู่ความถูกต้องยังทำไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรจะเข้าไปยืนอยู่ในสภาเพื่อทำหน้าตรวจสอบรัฐมนตรี”
ผู้ดำเนินรายการเชื่อว่า การนัดแถลงคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งในวันที่ 18 มกราคมนี้จะมีความสำคัญมาก แต่ก็คงไม่ผลกระทบกับการจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะการประกาศของนายบรรหาร นั้นดูจะได้มากกว่าเสีย เนื่องจากหากศาลพิจารณาในทางลบต่อพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทยก็จะประกาศว่า ถึงอย่างไรก็ยังมีอีกสองพรรคที่ยืนเคียงข้างพรรคพลังประชาชน หากมีการเลือกตั้งใหม่ คะแนนเสียงเดิมของพรรคพลังประชาชนก็จะเทมาให้พรรคชาติไทย
**โผ ครม.ลงตัว - “พลังแม้ว” อีสานโวย
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงการจัดโผ ครม.ของพรรคพลังประชาชนว่า น่าจะใกล้เสร็จแล้ว เพราะมีการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่ม ส.ส.ภาคอีสานที่ไม่ใจเพราะกลุ่มของตนไม่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงไหนเลย โดย พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมาบอกว่า พรรคพลังประชาชนได้โควตารัฐมนตรี 23 ตำแหน่ง ซึ่ง ส.ส.ในภาคอีสานมีจำนวนมากที่สุด จึงน่าจะได้ตำแหน่งรัฐมนตรีมากกว่าภาคอื่นเพื่อเป็นการตอบแทนคนอีสานที่เลือกพรรคพลังประชาชนเข้ามามาก และน่าจะกระจายรัฐมนตรีไปทุกภาคตามจำนวน ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้ง
“เขาคงจะเห็นโผมาแล้ว และพบว่าพรรคได้เก้าอี้เท่านี้ แต่เมื่อดูโควตาแล้ว ไม่มี ส.ส.อีสาน ข้าไปเป็นรัฐมนตรีเลย จึงต้องแสดงพลังออกมาโวยวาย ให้มันวุ่นวายเข้าไว้ เพราะแม้แต่พรรคมัชฌิมาธิปไตย ได้ ส.ส.ไม่กี่เสียงยังได้เป็นรัฐมนตรี พรรคประชาราช คุณเสนาะ เทียนทอง ก็มีคนไปเป็นรัฐมนตรี ทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาลล้วนสบายใจอิ่มเอม”
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีกาจะอ่านคำพิพากษาคดีที่มีผู้ร้องให้การเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค.50 เป็นโมฆะ และพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินี ในวันที่ 18 ม.ค.ว่า ล่าสุด กรณีนอมินีนั้น นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำวีซีดีเพื่อสรุปประเด็นทั้งหมดให้เข้าใจง่ายเสนอต่อ กกต.อีกครั้ง
โดยในวีซีดีดังกล่าวเป็นคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่พูดเป็นภาษาเหนือ และภาษากลาง บอกกับประชาชนว่า ตนเป็นคนแนะนำให้อดีตส.ส.พรรคไทยรักไทยที่ถูกตุลาการวินิจฉัยให้ยุบพรรค พากันมารวมตัวที่พรรคพลังประชาชน และขอให้ช่วยกันเลือกพรรคพลังประชาชน เพื่อตนจะได้กลับเข้ามาอีกครั้ง ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว เท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณทำตัวเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนก็ยอมรับว่า ตนจะเป็นนอมินี พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ ให้ดูที่พฤติกรรมของตนเอง
ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า วีซีดีดังกล่าวมีความชัดเจนมากว่าโดยพฤตินัยนั้นพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณแน่นอน แต่ในทางกฎหมายนั้นจะเอาผิดได้หรือไม่ก็ขึ้นกับผู้พิพากษาว่าจะตัดสินอย่างไร
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า กรณีที่นายสมัครอ้างว่าเป็นนอมินีแล้วเสียหายตรงไหน นอมินีที่มีประโยชน์ก็มี เช่น บริษัทโตโยต้า ฮอนด้า ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยนั้น ต้องถามว่า นอมินีเหล่านี้โกงชาติหรือเปล่า การเป็นนอมินีจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าเป็นนอมินีที่เป็นตัวแทนความถูกต้อง หรือเป็นตัวแทนคนที่ทำผิดกฎหมาย
ผู้ดำเนินรายการตั้งข้อสังเกตอีกว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ รีบเดินทางออกจากเมืองแมนเชสเตอร์ไปที่ลอนดอน ทั้งที่ยังชมการแข่งขันฟุตบอลของทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ยังไม่จบ ทั้งนี้เพื่อรีบเดินทางต่อไปยังฮ่องกง คาดว่าจะมาติดตามการสถานการณ์ทางการเมืองหลังการอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา ซึ่งหากเกิดอะไรขึ้นจะได้แก้ไขสถานการณ์ได้ทัน เหมือนกับช่วงวันเลือกตั้ง ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณได้มาปักหลักอยู่ที่ฮ่องกง
ผู้ดำเนินรายการตั้งข้อสังเกตอีกว่า ไม่ว่าคำพิพากษาจะออกมาอย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ย่อมรู้อยู่แก้ใจว่าพรรคการเมืองนี้เป็นนอมินีของใคร และเชื่อว่าทุกคนคงจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น โดยเฉพาะพรรคชาติไทยที่ได้ตั้งเงื่อนไข 5 ข้อ ให้พรรคพลังประชาชนยอมรับก่อน ย่อมจะรู้พฤติกรรมเดิมของพรรคพลังประชาชนดี ถึงกับระบุในเงื่อนไขข้อที่ 2 ห้ามจาบจ้วงพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
ผู้ดำเนินรายการ ได้นำวิดีโอคลิป พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พูดกับคนไทยที่ออสเตรเลียช่วงต้นปี 2550 มาเปิดเพื่อเตือนสตินายบรรหารที่จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน โดยในคลิปดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณได้กล่าวกล่าวหาพล.อ.เปรมต่อหน้าคนไทยในออสเตรเลียว่า ได้เข้ามาแทรกแซงการบริหารงานของเขา มีการสั่งให้ศาลไม่ให้ดำเนินคดีนายสนธิ ลิ้มทองกุล สั่งหนังสือพิมพ์ให้เขียนโจมตีตัวเขา ขณะที่ตัวเขาเองทำแต่งานไม่ได้สนใจอะไร
“ถ้าคุณบรรหารยังเคารพ พล.อ.เปรมจริง และถ้าผู้ใหญ่ที่คุณบรรหารเคารพมา 30 ปี หมายถึง พล.อ.เปรม ก็ควรจะนึกได้ว่า เขากำลังจะร่วมรัฐบาลกับใคร เว้นแต่คนที่คุณบรรหารเคารพไม่ใช่พล.อ.เปรม นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าใช่ แล้วคุณบรรหารจะเอาหน้าไปไว้ไหน”
ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า นายบรรหารควรจะบอกให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชนที่เคยไม่ยอมรับเงื่อนไข 5 ข้อ ต้องออกมาประกาศยอมรับอย่างชัดเจนว่าพรรคเคยทำผิดไปแล้ว จะไม่ทำอีก และยอมรับเงื่อนไขทั้ง 5 ข้อแล้ว
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2
( 56 k ) | ( 256 K )