การเลือกตั้งทำท่าว่าจะ (1) คลอดรัฐบาลที่แบ่งประเทศให้แตกออกเป็น 2 เสี่ยง (2)เกิดอาการแท้ง คลอดได้ แต่รัฐบาลตายมาแต่ในท้อง (3) จนเปิดสภาไม่ได้ เพราะผู้สมัครอาจถูกใบแดง-ใบเหลืองอื้อ (4) ตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ (5) พรรคการเมืองถูกยุบ (6) การเลือกตั้งเป็นโมฆะ (7) การเลือกตั้งใหม่หรือแบบใหม่เมื่อใดแบบใดหาความแน่นอนไม่ได้ (8)เกิดความขัดแย้งในสังคมจนอาจจะถึงนองเลือดครั้งใหญ่
ส่วนจะเป็นอย่างไรแน่นั้นขึ้นอยู่กับว่าจะเอาอะไรหรือใครเป็นหลัก พูดง่ายๆก็คือ ระหว่างประชาชน –กกต.หรือ กฎหมาย จะให้ใครหรือเอาอะไรจะเป็นใหญ่
ถ้าเอากฎหมายเป็นใหญ่ เพราะเราต้องการเป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยต้องปกครองด้วยกฎหมาย ไม่ใช่โดยบุคคลหรืออำเภอใจของบุคคล ผมว่าสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น ก็คือเหตุการณ์ตามข้อ (3) (4) (5)และ (6)
ยกเว้นแต่กฎหมายต่างๆทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง และกฎระเบียบต่างๆที่ออกมาตามนั้นบรรดาที่เรามีอยู่จะมีความหมายแค่เป็นตัวหนังสือเท่านั้น
ทั้งนี้เพราะ ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเอง พรรคการเมืองเอง ผู้สมัครรับเลือกตั้งเอง ตลอดจนผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบได้แก่ คมช. รัฐบาล กกต.และหน่วยราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่างก็พากันละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือไม่ก็ฝ่าฝืนกฎหมายกันเสียเองทั้งสิ้น
กฎหมายและระเบียบเหล่านี้ มิใช่กฎหมายอาญาหรือกฎหมายทั่วไป ซึ่งการกระทำผิดมีองค์ประกอบหลายอย่างรวมทั้งเจตนาด้วย แต่กฎหมายพรรคการเมืองก็ดี กฎหมายเลือกตั้งก็ดี ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง ห้ามมิให้กระทำ เช่นเดียวกับห้ามซุกหุ้น เมื่อใดมีการกระทำก็ต้องถือว่ามีผิด ตามหลัก mala prohibita คือผิดเพราะห้ามแล้วยังกระทำ และต้องมีโทษตามสถานที่กำหนดไว้ ไม่มีทางเป็นอื่น
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงวิเคราะห์ว่า จะต้องมีพรรคถูกยุบและการเลือกตั้งจะเป็นโมฆะ
การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ถูกพิพากษาให้โมฆะก็ด้วยเหตุการณ์หันหน้าหันหลังเข้าคูหาประเด็นเดียว แต่การเลือกตั้งครั้งนี้มิเพียงแต่ให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าในภูมิลำเนาของตนเองถึง 2 วันก็ผิดรัฐธรรมนูญและสิ้นสภาพของการเลือกตั้งทั่วไปตามคำนิยามทั้งโลกแล้ว มิหนำการนำคะแนนไปนับและผลของคะแนนที่ออกมาเป็นบล็อกยังซ้ำเข้าไปอีก ตลอดจนสภาพของความเป็นพรรคของพรรคต่างๆ ยังขาดความครบถ้วน ตามกฎหมายฯลฯ
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเสนอให้เลื่อนการเลือกตั้งผมมิได้เสนอให้ล้มการเลือกตั้ง หรือให้ยึดอำนาจ หรือให้รัฐบาลแต่งตั้งอยู่ต่อ แต่ผมเสนอให้มีสมัชชาแห่งชาติ เลือกตั้งสภานิติบัญญัติชั่วคราว เพื่อให้พรรคต่างๆมีเวลาปรับตัวให้ถูกต้อง พร้อมที่จะเข้าสู่การเลือกตั้งที่สุจริตเที่ยงธรรมในอนาคตต่อไป
ผมเขียนบทความไม่กี่บท การออกทีวี 3-4 ครั้ง พิมพ์หนังสือเรื่อง “พระราชอำนาจจากพระโอษฐ์ในหลวง กับเรื่อง เลือกตั้งน้ำเน่าเราจะพากันไปตาย” กับการพิมพ์อนุสารเรื่อง “ข้าวรพุทธเจ้าเอามโนและศิระกราน” ซึ่งกว่าจะพิมพ์เสร็จ แจกจ่ายออกไปได้ก็ตั้งวันที่ 6 ธันวาคม และ 19 ธันวาคม 2550 โดยลำดับ
ผมทราบดีและไม่เคยคาดหวังว่าจะเลื่อนการเลือกตั้งสำเร็จ แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่าเราสามารถใช้หลักกฎหมายและหลักประชาธิปไตยเลื่อนการเลือกตั้งได้ แต่ถ้าหากไม่เลื่อน หลังการเลือกตั้ง หลักกฎหมายจะถูกข่มโดยพลังของประชาชน ไม่ว่ากกต.หรือ ศาลจะต้องเผชิญกับข้อจำกัดเรื่องเวลาและการประท้วงอย่างหนัก
ในการเคลื่อนไหวทางความคิดครั้งนี้ ผมได้สิ่งที่ผมต้องการครบทั้ง 3 อย่าง กล่าวคือ (1) ได้ชี้ให้เห็นถึงความไม่สมประกอบของการเลือกตั้ง หากเลือกตั้งแล้วจะเกิดปัญหาสารพันตามมา (2) ได้เสนอวิธีแก้ปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นตามข้อ (1) และ (3)ได้สร้างสมัชชาประชาธิปไตยฯขึ้น อย่างเรียบง่าย ประหยัด บริสุทธิ์ จากบรรดาพลังเงียบของประเทศทั้งในเมืองหลวง ต่างจังหวัด และต่างประเทศ ผู้ที่กล้าแสดงตัวโดยอัดสำเนาบัตรประชาชน และแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาและกล้าหาญส่งมาที่ตู้ปณ.19 ทำเนียบรัฐบาล
ในเรื่องที่ (3) นั้น
(1)ตู้ ปณ. 19 ได้รับจดหมายวันละ 5-10 ฉบับใน 2-3 วันแรก และถีบตัวขึ้นไปเป็น 100+ใน 2-3 วันหลัง นอกจากนั้นมีผู้รวบรวมกันเป็นกลุ่มๆ ส่งเป็นซองใหญ่ๆ จ่าหน้าโดยตรงไปที่บ้านผม บางกลุ่มอ้างว่าไม่เข้าใจและไม่ไว้ใจว่าทำไมผมจึงใช้ปณ.ทำเนียบรัฐบาล
(2)รวมแล้วสมัชชาประชาธิปไตยฯได้รับจดหมายเป็นจำนวนพัน ไม่ถึง 50,000 ฉบับ ซึ่งจะเป็นจำนวนที่มีความหมายสูงสุด และเป็นพลังสำคัญในการเมืองไทยในอนาคต เพราะจะสามารถเสนอแก้ไขพ.ร.บ. กฎหมายรัฐธรรมนูญ และถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งได้
(3)ส่วนใหญ่ผู้ส่งจดหมายเป็นบุคคลที่ผมไม่ได้รู้จักเป็นส่วนตัว ผมอนุมานว่าโดยเฉลี่ยแล้วเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ มากกว่าชนชั้นกลางหรือผู้ที่มีความรู้หรือตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งเรื่องนี้ผมเห็นว่ามีความหมายอย่างยิ่ง ถึงกระนั้นก็มีบุคคลสำคัญที่ผมรู้จัก ที่เป็นอดีตประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ และนายทหารอาชีพยศพลเอกจากทุกเหล่าทัพและอดีตเอกอัครราชทูตหลายคน ผู้ที่บอกว่าเห็นด้วย แต่ยังมิได้ลงนามมามีทั้งอดีตผบ.ทบ.และ อดีตนายกรัฐมนตรีถึง 2 ท่าน ในขณะที่ผมขอบคุณท่านเหล่านี้ ผมหวังว่าท่านคงไม่ถือที่ผมถือว่าท่านเป็นเพียงพลเมืองดีที่ปฏิบัติหน้าที่เท่าเทียมกับชาวบ้านคนอื่นๆ
(4)คุณอุดร ตันติสุนทร กัลยาณมิตร ผู้มีศรัทธาในการปกครองท้องถิ่นกรุณาสนับสนุนการพิมพ์หนังสือจำนวน 1 หมื่นเล่ม และจัดส่งให้เทศบาล อบจ. อบต. ทุกแห่ง ผมไม่เสียกำลังใจที่รู้สึกว่าเกือบจะไม่มีการสนองตอบมาจากนักการเมืองท้องถิ่นในฝันของคุณอุดรเลย ในทางกลับกัน เมื่อผมนำหนังสือไปถวายให้ท่านโพธิรักษ์ ผมได้รับเชิญให้ไปพูดและออกทีวีให้ญาติธรรมฟัง ผมได้เน้นความรู้ ความเต็มใจและความเข้าใจเป็นหลักการมีส่วนร่วม เราได้รับหนังสือจากชาวสันติอโศกเป็นพันๆ ผมขอขอบคุณและยกไว้ว่าเป็นสิ่งที่มีค่า
(5) ผมส่งหนังสือไปให้เพื่อนและน้องที่เป็นทหารระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้รับคำสอบถามที่แสดงถึงความสนใจและภูมิปัญญาของผู้รับ คุณอุดรเล่าให้ผมฟังว่ามีกรมทหารแห่งหนึ่งมาขอรับหนังสือไปถึง 1 พันเล่ม มีผู้หวังดีที่เป็นผู้ใหญ่ของเครือข่ายต่างๆ เช่น กองทัพ สถานีทีวี และสหภาพฯที่เสนอจะระดมลายเซ็นมาให้ ผมตอบขอบคุณและขอปฏิเสธ เพราะผมต้องการเห็นพลังทางการเมืองในอนาคตเกิดจากผู้รู้ ผู้รัก และผู้เข้าใจจริงๆ
(6)ผมตั้งใจจะรักษาสำเนาบัตรประชาชนและหนังสือที่ได้รับอย่างของที่มีค่า จะไม่ปล่อยให้ใครทำปู้ยี่ปู้ยำ สมาชิกสมัชชาประชาธิปไตยฯจะไม่เสียอะไรแม้แต่ค่าสมาชิก อย่างมากก็เสียค่ากระดาษและแสตมป์เท่านั้น แต่ผมอยากให้สมาชิกได้รับอนุสาร และหนังสือที่เป็นความรู้เรื่องการเมืองเป็นประจำ ผมกำลังมองหาทุนอยู่จากบุคคลและมูลนิธิทั้งในและต่างประเทศ ที่จะมีจิตศรัทธาอย่างคุณอุดร ตันติสุนทร ใครมีอะไรจะแนะนำ ผมจะขอบพระคุณยิ่ง ผมเชื่อว่าสมัชชาประชาธิปไตยฯจะเติบโตขึ้นเป็น 5 หมื่นคนภายในเวลาพริบตา โดยมิต้องใช้อามิสสินจ้างหรือการบีบบังคับใดๆ
ท่านผู้อ่านที่เคารพ การเลือกตั้งผ่านไปแล้ว 10 กว่าวัน ยังไม่มีการรับรองผล แต่ท่านก็คงเห็นเค้าของความวินาศหรืออัปมงคลอันเกิดแต่และเกิดจากแก๊งเลือกตั้งต่างๆ ยังไม่ทันไร พวกเราก็เห็นลายลิ้นหลายแฉกของนักการเมืองประเภท “ชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือ” อีกหน่อยเราก็จะเห็นความรักชาติที่ไม่ยอมขาดประโยชน์ตัวกูในการแบ่งเค้กแย่งกระทรวงของบรรดา “กระสือฝูงห่าลงหากิน”
ผมได้ตอกย้ำหลายครั้งแล้วว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่สมประกอบ เพราะ (1)รัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งไม่สมประกอบ (2)ผู้จัดการเลือกตั้งคือรัฐบาล กกต.และหน่วยราชการที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งไม่สมประกอบ (3) พรรคการเมืองไม่สมประกอบ
ที่สำคัญและเป็นปัญหาหนักที่สุดคือข้อที่ (3) ซึ่งจะนำความไม่สมประกอบของตนไปทับถมลงที่ความไม่สมประกอบของข้อที่ (1)และข้อที่ (2) ผลที่สุดก็จะเกิดวิกฤตทางการเมืองขึ้นอีกจนได้
ในการแก้ไขความไม่สมประกอบนี้ ผมมิเคยเสนอให้ใช้เครื่องมืออย่างอื่นนอกจากกฎหมายและหลักประชาธิปไตย และผมก็ได้คอยเฝ้าดูการแก้ปัญหาโดยวิธีการอื่นที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายและหลักประชาธิปไตย
ขณะนี้สังคมไทยแตกออกเป็น 2 เสี่ยงอย่างเห็นได้ชัด ยากที่ใครจะยอมใคร
ทั้งนี้เพราะเรามีแต่การเลือกตั้งจอมปลอม ของเสือ สิงห์ กระทิง แรด หิวๆทั้งนั้น ผมยังก้องอยู่ในหูว่า “เป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้งแทบตาย”
ผมเห็นใจในความอ่อนด้อยขาดประสบการณ์ของกกต. ในขณะเดียวกันผมเป็นห่วงกกต.ว่าจะถูกกดดันเสียจนใช้กฎหมายไม่เป็น ความเคยชินกับขบวนการพิจารณาและกฎหมายแบบที่เป็นความผิดชั่วในตัว ที่เรียกว่า mala inse จะทำให้ กกต.คอยนั่นคอยนี่เข้าทำนอง กว่าถั่วจะสุก-งาก็ไหม้
ความจริงการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรมนั้นเขาไม่ต้องรอพยานหลักฐานเหมือนคดีฆ่าคน เพียงแต่มีเหตุ “พอเชื่อได้” ก็สามารถวินิจฉัยได้แล้ว เรื่องการละเมิดโดยพรรคก็เช่นกัน หาก กกต.ยังมีสำนึกที่ผิดโดยนึกว่าตนมีความรู้และมาตรฐานทางกฎหมายสูงกว่าธรรมดา หรือ กกต.ได้รับอิทธิพลอื่นใดเพื่อจูงใจให้ กกต.ทำตนยิ่งใหญ่กว่ากฎหมายก็ดี เมื่อนั้น กกต.ก็จะเป็นผู้ขุดหลุมฝังประชาธิปไตยเสียเอง
ภาษิตกฎหมายที่มีว่า ความยุติธรรมที่ล่าช้าไม่ทันเวลานั้นก็คือความอยุติธรรม น่าจะต้องทำให้กกต.สำนึกว่าความลังเลไม่ทันกินของ กกต.จะทำให้บ้านเมืองถลำลึกลงไปในวิกฤต หมดโอกาสที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไปตลอดกาล
สำหรับผู้ที่อ้างเสียงสวรรค์ คอยยุให้ประชาชนเผชิญหน้ากันนั้น จะต้องคิดให้ดีเสียก่อนว่า ประชาชนที่มาใช้สิทธิที่มิได้เลือกตนบวกกับประชาชนที่ไม่มาใช้สิทธิ นั้นมีจำนวนมากมายกว่าพวกที่ลงคะแนนให้ตน เพราะอามิสบ้าง เพราะสงสารบ้าง เพราะเกรงกลัวบ้าง เพราะพวกมากลากไปบ้าง ขืนหากหลอกลวงเอาประชาชนมาบังหน้า อาศัยประชาชนเป็นโล่ หลอกให้เขาพลีชีพ หรือบาดเจ็บแทนตัวเอง ก่อความวุ่นวายเพื่อให้ตนได้อำนาจ หากบ้านเมืองมีผู้รักษากฎหมายที่มีความกล้าหาญทั้งในด้านศีลธรรมและความเฉียบขาดในการรักษากฎหมายจริง ระวังจะต้องย้ายบ้านเข้าไปนอนในคุก
จริงๆแล้ว ผมชักเชื่อคุณยุวรัตน์ อดีต กกต.ว่า ถ้าอยากให้การเมืองไทยสะอาด ต้องห้ามผู้นำการเมืองในปัจจุบันทั้งหมดไม่ให้มีสิทธิเล่นการเมืองเป็นเวลา 10 ปี
ผมยังนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรจึงจะไม่ขัดกับหลักประชาธิปไตย
แต่ผมนึกออกแล้ว ว่าขณะนี้เราจะยุบพรรคได้อีกหลายพรรค และตัดสิทธิทางการเมืองของผู้บริหารพรรคได้อีกเป็นสิบหรือร้อย เพียงแค่นี้แผ่นดินไทยก็จะสูงขึ้นอักโข เมื่อบ้านเลขที่ 111 เปลี่ยนไปเป็น 222 ในเดือนกุมภาพันธ์
ทำได้จริงๆ ด้วยครับ กฎหมายก็มีอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องมีผู้กล้า ทำให้กฎหมายเป็นกฎหมาย และให้กฎหมายเป็นใหญ่ จริงๆ เสียที
ผมเกรงว่า ผู้นำการเมืองไทยจะมีแต่คนขลาด กลัวเสียจนกระทั่งทำตัวเหนือกฎหมายไปเสียหมด.
ส่วนจะเป็นอย่างไรแน่นั้นขึ้นอยู่กับว่าจะเอาอะไรหรือใครเป็นหลัก พูดง่ายๆก็คือ ระหว่างประชาชน –กกต.หรือ กฎหมาย จะให้ใครหรือเอาอะไรจะเป็นใหญ่
ถ้าเอากฎหมายเป็นใหญ่ เพราะเราต้องการเป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยต้องปกครองด้วยกฎหมาย ไม่ใช่โดยบุคคลหรืออำเภอใจของบุคคล ผมว่าสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น ก็คือเหตุการณ์ตามข้อ (3) (4) (5)และ (6)
ยกเว้นแต่กฎหมายต่างๆทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง และกฎระเบียบต่างๆที่ออกมาตามนั้นบรรดาที่เรามีอยู่จะมีความหมายแค่เป็นตัวหนังสือเท่านั้น
ทั้งนี้เพราะ ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเอง พรรคการเมืองเอง ผู้สมัครรับเลือกตั้งเอง ตลอดจนผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบได้แก่ คมช. รัฐบาล กกต.และหน่วยราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่างก็พากันละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือไม่ก็ฝ่าฝืนกฎหมายกันเสียเองทั้งสิ้น
กฎหมายและระเบียบเหล่านี้ มิใช่กฎหมายอาญาหรือกฎหมายทั่วไป ซึ่งการกระทำผิดมีองค์ประกอบหลายอย่างรวมทั้งเจตนาด้วย แต่กฎหมายพรรคการเมืองก็ดี กฎหมายเลือกตั้งก็ดี ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง ห้ามมิให้กระทำ เช่นเดียวกับห้ามซุกหุ้น เมื่อใดมีการกระทำก็ต้องถือว่ามีผิด ตามหลัก mala prohibita คือผิดเพราะห้ามแล้วยังกระทำ และต้องมีโทษตามสถานที่กำหนดไว้ ไม่มีทางเป็นอื่น
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงวิเคราะห์ว่า จะต้องมีพรรคถูกยุบและการเลือกตั้งจะเป็นโมฆะ
การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ถูกพิพากษาให้โมฆะก็ด้วยเหตุการณ์หันหน้าหันหลังเข้าคูหาประเด็นเดียว แต่การเลือกตั้งครั้งนี้มิเพียงแต่ให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าในภูมิลำเนาของตนเองถึง 2 วันก็ผิดรัฐธรรมนูญและสิ้นสภาพของการเลือกตั้งทั่วไปตามคำนิยามทั้งโลกแล้ว มิหนำการนำคะแนนไปนับและผลของคะแนนที่ออกมาเป็นบล็อกยังซ้ำเข้าไปอีก ตลอดจนสภาพของความเป็นพรรคของพรรคต่างๆ ยังขาดความครบถ้วน ตามกฎหมายฯลฯ
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเสนอให้เลื่อนการเลือกตั้งผมมิได้เสนอให้ล้มการเลือกตั้ง หรือให้ยึดอำนาจ หรือให้รัฐบาลแต่งตั้งอยู่ต่อ แต่ผมเสนอให้มีสมัชชาแห่งชาติ เลือกตั้งสภานิติบัญญัติชั่วคราว เพื่อให้พรรคต่างๆมีเวลาปรับตัวให้ถูกต้อง พร้อมที่จะเข้าสู่การเลือกตั้งที่สุจริตเที่ยงธรรมในอนาคตต่อไป
ผมเขียนบทความไม่กี่บท การออกทีวี 3-4 ครั้ง พิมพ์หนังสือเรื่อง “พระราชอำนาจจากพระโอษฐ์ในหลวง กับเรื่อง เลือกตั้งน้ำเน่าเราจะพากันไปตาย” กับการพิมพ์อนุสารเรื่อง “ข้าวรพุทธเจ้าเอามโนและศิระกราน” ซึ่งกว่าจะพิมพ์เสร็จ แจกจ่ายออกไปได้ก็ตั้งวันที่ 6 ธันวาคม และ 19 ธันวาคม 2550 โดยลำดับ
ผมทราบดีและไม่เคยคาดหวังว่าจะเลื่อนการเลือกตั้งสำเร็จ แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่าเราสามารถใช้หลักกฎหมายและหลักประชาธิปไตยเลื่อนการเลือกตั้งได้ แต่ถ้าหากไม่เลื่อน หลังการเลือกตั้ง หลักกฎหมายจะถูกข่มโดยพลังของประชาชน ไม่ว่ากกต.หรือ ศาลจะต้องเผชิญกับข้อจำกัดเรื่องเวลาและการประท้วงอย่างหนัก
ในการเคลื่อนไหวทางความคิดครั้งนี้ ผมได้สิ่งที่ผมต้องการครบทั้ง 3 อย่าง กล่าวคือ (1) ได้ชี้ให้เห็นถึงความไม่สมประกอบของการเลือกตั้ง หากเลือกตั้งแล้วจะเกิดปัญหาสารพันตามมา (2) ได้เสนอวิธีแก้ปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นตามข้อ (1) และ (3)ได้สร้างสมัชชาประชาธิปไตยฯขึ้น อย่างเรียบง่าย ประหยัด บริสุทธิ์ จากบรรดาพลังเงียบของประเทศทั้งในเมืองหลวง ต่างจังหวัด และต่างประเทศ ผู้ที่กล้าแสดงตัวโดยอัดสำเนาบัตรประชาชน และแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาและกล้าหาญส่งมาที่ตู้ปณ.19 ทำเนียบรัฐบาล
ในเรื่องที่ (3) นั้น
(1)ตู้ ปณ. 19 ได้รับจดหมายวันละ 5-10 ฉบับใน 2-3 วันแรก และถีบตัวขึ้นไปเป็น 100+ใน 2-3 วันหลัง นอกจากนั้นมีผู้รวบรวมกันเป็นกลุ่มๆ ส่งเป็นซองใหญ่ๆ จ่าหน้าโดยตรงไปที่บ้านผม บางกลุ่มอ้างว่าไม่เข้าใจและไม่ไว้ใจว่าทำไมผมจึงใช้ปณ.ทำเนียบรัฐบาล
(2)รวมแล้วสมัชชาประชาธิปไตยฯได้รับจดหมายเป็นจำนวนพัน ไม่ถึง 50,000 ฉบับ ซึ่งจะเป็นจำนวนที่มีความหมายสูงสุด และเป็นพลังสำคัญในการเมืองไทยในอนาคต เพราะจะสามารถเสนอแก้ไขพ.ร.บ. กฎหมายรัฐธรรมนูญ และถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งได้
(3)ส่วนใหญ่ผู้ส่งจดหมายเป็นบุคคลที่ผมไม่ได้รู้จักเป็นส่วนตัว ผมอนุมานว่าโดยเฉลี่ยแล้วเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ มากกว่าชนชั้นกลางหรือผู้ที่มีความรู้หรือตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งเรื่องนี้ผมเห็นว่ามีความหมายอย่างยิ่ง ถึงกระนั้นก็มีบุคคลสำคัญที่ผมรู้จัก ที่เป็นอดีตประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ และนายทหารอาชีพยศพลเอกจากทุกเหล่าทัพและอดีตเอกอัครราชทูตหลายคน ผู้ที่บอกว่าเห็นด้วย แต่ยังมิได้ลงนามมามีทั้งอดีตผบ.ทบ.และ อดีตนายกรัฐมนตรีถึง 2 ท่าน ในขณะที่ผมขอบคุณท่านเหล่านี้ ผมหวังว่าท่านคงไม่ถือที่ผมถือว่าท่านเป็นเพียงพลเมืองดีที่ปฏิบัติหน้าที่เท่าเทียมกับชาวบ้านคนอื่นๆ
(4)คุณอุดร ตันติสุนทร กัลยาณมิตร ผู้มีศรัทธาในการปกครองท้องถิ่นกรุณาสนับสนุนการพิมพ์หนังสือจำนวน 1 หมื่นเล่ม และจัดส่งให้เทศบาล อบจ. อบต. ทุกแห่ง ผมไม่เสียกำลังใจที่รู้สึกว่าเกือบจะไม่มีการสนองตอบมาจากนักการเมืองท้องถิ่นในฝันของคุณอุดรเลย ในทางกลับกัน เมื่อผมนำหนังสือไปถวายให้ท่านโพธิรักษ์ ผมได้รับเชิญให้ไปพูดและออกทีวีให้ญาติธรรมฟัง ผมได้เน้นความรู้ ความเต็มใจและความเข้าใจเป็นหลักการมีส่วนร่วม เราได้รับหนังสือจากชาวสันติอโศกเป็นพันๆ ผมขอขอบคุณและยกไว้ว่าเป็นสิ่งที่มีค่า
(5) ผมส่งหนังสือไปให้เพื่อนและน้องที่เป็นทหารระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้รับคำสอบถามที่แสดงถึงความสนใจและภูมิปัญญาของผู้รับ คุณอุดรเล่าให้ผมฟังว่ามีกรมทหารแห่งหนึ่งมาขอรับหนังสือไปถึง 1 พันเล่ม มีผู้หวังดีที่เป็นผู้ใหญ่ของเครือข่ายต่างๆ เช่น กองทัพ สถานีทีวี และสหภาพฯที่เสนอจะระดมลายเซ็นมาให้ ผมตอบขอบคุณและขอปฏิเสธ เพราะผมต้องการเห็นพลังทางการเมืองในอนาคตเกิดจากผู้รู้ ผู้รัก และผู้เข้าใจจริงๆ
(6)ผมตั้งใจจะรักษาสำเนาบัตรประชาชนและหนังสือที่ได้รับอย่างของที่มีค่า จะไม่ปล่อยให้ใครทำปู้ยี่ปู้ยำ สมาชิกสมัชชาประชาธิปไตยฯจะไม่เสียอะไรแม้แต่ค่าสมาชิก อย่างมากก็เสียค่ากระดาษและแสตมป์เท่านั้น แต่ผมอยากให้สมาชิกได้รับอนุสาร และหนังสือที่เป็นความรู้เรื่องการเมืองเป็นประจำ ผมกำลังมองหาทุนอยู่จากบุคคลและมูลนิธิทั้งในและต่างประเทศ ที่จะมีจิตศรัทธาอย่างคุณอุดร ตันติสุนทร ใครมีอะไรจะแนะนำ ผมจะขอบพระคุณยิ่ง ผมเชื่อว่าสมัชชาประชาธิปไตยฯจะเติบโตขึ้นเป็น 5 หมื่นคนภายในเวลาพริบตา โดยมิต้องใช้อามิสสินจ้างหรือการบีบบังคับใดๆ
ท่านผู้อ่านที่เคารพ การเลือกตั้งผ่านไปแล้ว 10 กว่าวัน ยังไม่มีการรับรองผล แต่ท่านก็คงเห็นเค้าของความวินาศหรืออัปมงคลอันเกิดแต่และเกิดจากแก๊งเลือกตั้งต่างๆ ยังไม่ทันไร พวกเราก็เห็นลายลิ้นหลายแฉกของนักการเมืองประเภท “ชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือ” อีกหน่อยเราก็จะเห็นความรักชาติที่ไม่ยอมขาดประโยชน์ตัวกูในการแบ่งเค้กแย่งกระทรวงของบรรดา “กระสือฝูงห่าลงหากิน”
ผมได้ตอกย้ำหลายครั้งแล้วว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่สมประกอบ เพราะ (1)รัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งไม่สมประกอบ (2)ผู้จัดการเลือกตั้งคือรัฐบาล กกต.และหน่วยราชการที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งไม่สมประกอบ (3) พรรคการเมืองไม่สมประกอบ
ที่สำคัญและเป็นปัญหาหนักที่สุดคือข้อที่ (3) ซึ่งจะนำความไม่สมประกอบของตนไปทับถมลงที่ความไม่สมประกอบของข้อที่ (1)และข้อที่ (2) ผลที่สุดก็จะเกิดวิกฤตทางการเมืองขึ้นอีกจนได้
ในการแก้ไขความไม่สมประกอบนี้ ผมมิเคยเสนอให้ใช้เครื่องมืออย่างอื่นนอกจากกฎหมายและหลักประชาธิปไตย และผมก็ได้คอยเฝ้าดูการแก้ปัญหาโดยวิธีการอื่นที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายและหลักประชาธิปไตย
ขณะนี้สังคมไทยแตกออกเป็น 2 เสี่ยงอย่างเห็นได้ชัด ยากที่ใครจะยอมใคร
ทั้งนี้เพราะเรามีแต่การเลือกตั้งจอมปลอม ของเสือ สิงห์ กระทิง แรด หิวๆทั้งนั้น ผมยังก้องอยู่ในหูว่า “เป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้งแทบตาย”
ผมเห็นใจในความอ่อนด้อยขาดประสบการณ์ของกกต. ในขณะเดียวกันผมเป็นห่วงกกต.ว่าจะถูกกดดันเสียจนใช้กฎหมายไม่เป็น ความเคยชินกับขบวนการพิจารณาและกฎหมายแบบที่เป็นความผิดชั่วในตัว ที่เรียกว่า mala inse จะทำให้ กกต.คอยนั่นคอยนี่เข้าทำนอง กว่าถั่วจะสุก-งาก็ไหม้
ความจริงการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรมนั้นเขาไม่ต้องรอพยานหลักฐานเหมือนคดีฆ่าคน เพียงแต่มีเหตุ “พอเชื่อได้” ก็สามารถวินิจฉัยได้แล้ว เรื่องการละเมิดโดยพรรคก็เช่นกัน หาก กกต.ยังมีสำนึกที่ผิดโดยนึกว่าตนมีความรู้และมาตรฐานทางกฎหมายสูงกว่าธรรมดา หรือ กกต.ได้รับอิทธิพลอื่นใดเพื่อจูงใจให้ กกต.ทำตนยิ่งใหญ่กว่ากฎหมายก็ดี เมื่อนั้น กกต.ก็จะเป็นผู้ขุดหลุมฝังประชาธิปไตยเสียเอง
ภาษิตกฎหมายที่มีว่า ความยุติธรรมที่ล่าช้าไม่ทันเวลานั้นก็คือความอยุติธรรม น่าจะต้องทำให้กกต.สำนึกว่าความลังเลไม่ทันกินของ กกต.จะทำให้บ้านเมืองถลำลึกลงไปในวิกฤต หมดโอกาสที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไปตลอดกาล
สำหรับผู้ที่อ้างเสียงสวรรค์ คอยยุให้ประชาชนเผชิญหน้ากันนั้น จะต้องคิดให้ดีเสียก่อนว่า ประชาชนที่มาใช้สิทธิที่มิได้เลือกตนบวกกับประชาชนที่ไม่มาใช้สิทธิ นั้นมีจำนวนมากมายกว่าพวกที่ลงคะแนนให้ตน เพราะอามิสบ้าง เพราะสงสารบ้าง เพราะเกรงกลัวบ้าง เพราะพวกมากลากไปบ้าง ขืนหากหลอกลวงเอาประชาชนมาบังหน้า อาศัยประชาชนเป็นโล่ หลอกให้เขาพลีชีพ หรือบาดเจ็บแทนตัวเอง ก่อความวุ่นวายเพื่อให้ตนได้อำนาจ หากบ้านเมืองมีผู้รักษากฎหมายที่มีความกล้าหาญทั้งในด้านศีลธรรมและความเฉียบขาดในการรักษากฎหมายจริง ระวังจะต้องย้ายบ้านเข้าไปนอนในคุก
จริงๆแล้ว ผมชักเชื่อคุณยุวรัตน์ อดีต กกต.ว่า ถ้าอยากให้การเมืองไทยสะอาด ต้องห้ามผู้นำการเมืองในปัจจุบันทั้งหมดไม่ให้มีสิทธิเล่นการเมืองเป็นเวลา 10 ปี
ผมยังนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรจึงจะไม่ขัดกับหลักประชาธิปไตย
แต่ผมนึกออกแล้ว ว่าขณะนี้เราจะยุบพรรคได้อีกหลายพรรค และตัดสิทธิทางการเมืองของผู้บริหารพรรคได้อีกเป็นสิบหรือร้อย เพียงแค่นี้แผ่นดินไทยก็จะสูงขึ้นอักโข เมื่อบ้านเลขที่ 111 เปลี่ยนไปเป็น 222 ในเดือนกุมภาพันธ์
ทำได้จริงๆ ด้วยครับ กฎหมายก็มีอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องมีผู้กล้า ทำให้กฎหมายเป็นกฎหมาย และให้กฎหมายเป็นใหญ่ จริงๆ เสียที
ผมเกรงว่า ผู้นำการเมืองไทยจะมีแต่คนขลาด กลัวเสียจนกระทั่งทำตัวเหนือกฎหมายไปเสียหมด.