xs
xsm
sm
md
lg

เย้ยทั้งฟ้า ท้าทั้งดิน สิ้นยำเกรง

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ท่านผู้อ่านที่เคารพ สำหรับท่านที่มิใช่คอเพลง คงไม่ทราบว่าชื่อบทความนี้มาจากเพลงดังสมัยก่อนกึ่งพุทธกาล แต่งเนื้อโดยชาลี อินทรวิจิตร และ สัมพันธ์ อูมากูล ทำนองโดยมงคล อมาตยกุล เป็นแผ่นเสียงครั้งแรกในปี พ.ศ. 2499 โดย สมสกุล ยงประยูร จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัฐ ซึ่งมีฉายาว่า “จอมเผด็จการผ้าขาวม้าแดง” โปรดปรานเพลงนี้มาก ภายหลังสุเทพ วงศ์กำแหง นำมาร้อง ทำให้ดังขึ้นไปอีกทั้งคนทั้งเพลง

เพลงนี้จัดว่าเป็นเพลงเพื่อชีวิต เพื่อปลุกปลอบขวัญคนที่ทำความดีมีศีลธรรม มิให้ท้อ เมื่อตกอยู่ใต้สถานการณ์ “สวรรค์ไม่มีตา พสุธาไม่มีความรู้สึก”

ด้วยเหตุใดไม่ทราบแน่ เดาเอาว่าสังคมไทยคงเสื่อมทรามลง เพลงนี้จึงกลับความหมาย กลายเป็นเพลงเชียร์ของคนประเภทตรงกันข้าม ที่แม้นจะละเมิดกฎหมาย ทำลายบ้านเมือง ก็ไม่รู้จักสำนึก หรือรู้สึกเกรงกลัว กลับดันทุรังกระทำผิด ซ้ำยังท้าทายหยามหยันผู้ที่คัดค้านตักเตือน

บทความนี้ไม่มีความประสงค์จะพาดพิงถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพบูชาของคนไทย นอกจากจะขอบันทึกว่า ในการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 23 ธันวาคม 2550 นี้มีปฏิบัติการ “เย้ยทั้งฟ้า-ท้าทั้งดิน” จากบุคคลและกลุ่มบุคคลต่างๆ ทั้งที่เป็นภาครัฐและเอกชนอย่างที่มิเคยปรากฏมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

สถาบันกษัตริย์ถูกกลุ่มบุคคลและพรรคการเมืองนำมาย่ำยี ถูกละเมิดต่างกรรมต่างวาระนับไม่ถ้วนกรณี ทั้งด้วยการใส่ร้ายป้ายสีเพื่อสร้างความเข้าใจผิดและทำลายสถาบันโดยตรง หรือการแอบอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มหรือพรรคการเมืองต่างๆ ก็มี แต่นี่ก็มิใช่ประเด็นที่ผมจะนำมาพูดวันนี้

ประเด็นที่ผมจะนำมาพูดสืบเนื่องมาจากข้อเสนอของผมที่ขอให้รัฐบาลกับ กกต.เลื่อนการเลือกตั้ง เพราะผมเชื่อมั่นว่าจะเป็นการเลือกตั้งจอมปลอมที่ทำลายกฎหมาย ท้าทายลัทธิรัฐธรรมนูญ จะทำให้คนไทยหลงผิดและพากันเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยเพี้ยนไปทั้งประเทศ

เหตุผลสำคัญที่ผมสรุปว่าเราต้องเลื่อนการเลือกตั้งก็เพราะความไม่สมประกอบที่ปรากฏชัดอยู่ และยังมิได้รับการเยียวยาในสถาบัน ทั้ง 3 คือ (1) หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบเลือกตั้ง คือรัฐบาลและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กกต.ไม่สมประกอบ (2) กฎหมายและกลไกในรัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายพรรคการเมืองไม่สมประกอบ และ (3) พรรคการเมืองไม่สมประกอบ

ผมเองเป็นนักเรียนวิชารัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งมาตลอดชีวิต ถึงจะเคยเป็นผู้สอน และผู้วินิจฉัยในฐานะ “ตุลาการรัฐธรรมนูญ” รุ่นอาวุโสที่สุดของประเทศที่มีชีวิตเหลืออยู่เพียงคนเดียว ผมก็ไม่เคยหยิ่งผยองว่าตนเป็นผู้มีความรู้มากกว่าผู้อื่น ไม่เคยละเว้นที่จะติดตามและทำการบ้านเรื่องรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งทั้งในประเทศและต่างประเทศมาโดยสม่ำเสมอ ผมสู้อุตส่าห์เขียนบทความ เขียนจดหมายและส่งหนังสือไปถึงบรรดาผู้มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง รวมถึงบรรดาผู้นำการเมืองและพรรคการเมืองสำคัญๆ เกือบทุกพรรค เพื่อชี้ให้เห็นว่าหากดันทุรังเลือกตั้งโดยไม่เปลี่ยนแปลงปรับปรุงเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาเสียก่อน ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นบ่อเกิดแห่งกลียุค ซึ่งอาจจะลุกลามไปถึงความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์

ผมไม่เคยคาดหวังว่าผมจะเลื่อนการเลือกตั้งได้สำเร็จ แต่ผมอดคิดไม่ได้ว่าคนที่เป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองน่าจะต้องมีโยนิโสมนสิการคือความถ่อมตัวตริตรองและรับผิดชอบ อย่างน้อยก็รับฟังและตรวจสอบความคิดเห็นของบุคคลอื่น แทนที่จะทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่ยอมตรวจสอบแก้ไขสิ่งซึ่งมีผู้เตือนด้วยความหวังดี กลับเอะอะโวยวายว่ามีผู้ไม่สุจริตคิดจะล้มเลือกตั้ง ที่เป็นเช่นนี้ผมเข้าใจดีว่าเป็นเพราะท่านเหล่านี้เล่าเรียนและเติบโตมาในระบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย จึงเคยตัวและวางตัวเสมือนผู้มีอำนาจบาตรใหญ่

ตั้งแต่ คมช. ยึดอำนาจ ตั้งรัฐบาลออกรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ฉบับ พ.ศ. 2549 ตั้งสนช.และสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา ผมเห็นแววว่าท่านผู้มีศักดานุภาพและปริญญานุภาพทั้งนั้นจะพากันเดินทางผิด และฉุดเอาอนาคตของประเทศชาติลงไปด้วย เพราะท่านเป็นผู้สืบสันดานระบบการเมืองอำนาจนิยม จึงพากันตกอยู่ใต้โครงสร้างแบบ “วิ่งเต้น เล่นพวก ทำอะไรลวกๆ เละอย่างเป็นระบบ แล้วก็จบด้วยเจ๊าหรือเจ๊งแบบไทยๆ” เหมือนชื่อบทความของผม ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนกันยายนหลังวันที่ 19

จนกระทั่งถึงวันนี้เลือกตั้งเสร็จไปแล้วเกือบยี่สิบวัน บรรดาคณะผู้ “ปฏิบัติการเย้ยฟ้า-ท้าดิน” ในการเลือกตั้งก็ยังไม่สำนึกว่าตนกระทำผิด ลากการเลือกตั้งไปตกหล่ม แล้วจะตั้งใจแก้ไขโดยอาศัยสุจริตธรรมและหลักกฎหมายก็หาไม่ มัวแต่ทะเลาะกันเองหรือไม่ก็เกรี้ยวกราดกับผู้ท้วงติง เหมือนกับจะ “เย้ยฟ้า ท้าดิน” อย่างไรอย่างนั้น

บทความนี้จะยกกรณีเย้ยฟ้า ท้าดินของ กกต. มาเป็นตัวอย่าง ทั
้งนี้มิได้หมายความว่า รัฐบาลก็ดี พรรคการเมืองก็ดี ผู้สมัครก็ดี หรือผู้สนับสนุนก็ดีไม่มีพฤติกรรมเช่นเดียวกัน หรือมีแต่ กกต.เท่านั้นที่มีพฤติกรรมจำเพาะดังที่ได้นำมายกตัวอย่าง เพราะความจริง การเย้ยฟ้า ท้าดินของกลุ่มต่างๆ ก็ดี ของ กกต.ก็ดี มีมากกว่าที่นำมาเล่า

เมื่อผมกล่าวถึงความไม่สมประกอบของ กกต. ผมหมายถึงโครงสร้างและองค์ประกอบทั้งหมด รวมทั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ที่ตกทอดมาจาก กกต.ชุดเดิมที่ต้องคำพิพากษาจำคุก บรรดาพนักงานเหล่านี้คือกลไกที่แท้จริงของ กกต.ที่ยังมิได้รับการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านความรู้ความสามารถทัศนคติและความจงรักภักดีที่มีต่อ “เจ้านาย” หรือผู้บังคับบัญชาชุดเดิม พนักงานเหล่านี้จะ “ชงเรื่อง” “ขุดหลุมพราง” “วางกับดัก” ไว้อย่างไรก็ยากที่ผู้บังคับบัญชาชุดใหม่ที่ “ด้อยความสามารถและขาดประสบการณ์” จะเข้าใจหรือหลีกเลี่ยงแก้ไขได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าท่านเหล่านั้นแบกความหยิ่งทะนงมาจากเกียรติ ประวัติและความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่เดิม เพราะความรับผิดชอบในหน้าที่ใหม่มันต่างกันโดยสิ้นเชิง และท่านยังไม่มีเวลาหรือชั่วโมงบินที่จะสะสมความเก่งหรือประสบการณ์ได้พอ ในที่สุดท่านก็ตกเป็น “เหยื่อ” ของระบบเหมือนกับผู้ที่มาก่อนท่าน เมื่อผมเตือนว่า “ระวังจะติดคุกหัวโต” นั้นมิใช่ผมหวังร้าย แต่หมายจะให้ท่านถ่อมตัวและระมัดระวัง เพราะความผิดพลาดของท่านหมายถึงความเสียหายของชาติด้วย

ผมไม่ทราบว่า 5 กกต.ปัจจุบันได้บทเรียนจากการถูกพิพากษาจำคุกของ กกต.ที่ได้รับสมญาว่า “สามหนาห้าห่วง” อย่างไรบ้าง กับทั้งท่านตระหนักดีแค่ไหนว่าการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน 2549 ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งว่าเป็นโมฆะนั้นเป็นเพราะอะไร ท่านเคยอ่านคำวินิจฉัยหรือไม่ และท่านซาบซึ้งถึงเวลาและความเสียหายที่บ้านเมืองได้รับเพียงใดหรือไม่ ท่านจะได้พึงระมัดระวังรอบคอบไม่ปล่อยให้การเลือกตั้งที่ท่านรับผิดชอบต้องตกเป็นโมฆะไปด้วย เพราะความประมาทหรืออวดดีของท่าน

ผมอ่านคำวินิจฉัย 36 หน้าในวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ที่สั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะตามคำร้อง ข้อ 1 และข้อ 2 ใน 4 ข้อ ของพลเอกสายหยุด เกิดผล และผู้ช่วยศาสตราจารย์ บรรเจิด สิงคะเนติ คือเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้งในพระราชกฤษฎีกา กับการจัดคูหาเลือกตั้งให้ผู้ลงคะแนนหันหน้าเข้าคูหา และหันหลังให้กรรมการ เป็นการละเมิดหลักการออกคะแนนเสียงโดยตรงและลับแล้ว ผมยังเห็นว่าการกระทำดังกล่าวร้ายแรงและเสียหายไม่เท่ากับการกระทำของ กกต.ปัจจุบันที่จัดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตในวันที่ 15 และ 16 ธันวาคม 2550 ซึ่งเป็นการละเมิดหลักการเลือกตั้งทั่วไป หลักการเลือกตั้งโดยเสรีและลับ และละเมิดบทบัญญัติในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งอีกหลายมาตรา จนทำให้การเลือกตั้งทั้งหมดไม่มีความสุจริตเที่ยงธรรม ผมไม่ทราบว่าท่านเอาอำนาจอะไรมากระทำหรือว่าพนักงาน กกต.ชงขึ้นมาจากคำแนะนำของ กกต.ชุดเก่า โดยหวังว่าจะตบตาคนทั้งประเทศได้ และท่านก็มักง่ายตกหลุมพรางดังกล่าว

แต่ครั้งนี้ชาติจะเสียหายยิ่งกว่าเดิมมากนัก ผมจะไม่พูดถึงความบกพร่องของ กกต.ในการจัดการและการควบคุมการเลือกตั้งกรณีอื่นๆ ซึ่งมีการฟ้องร้องกันอยู่เป็นระนาว จะไม่พูดถึงการออกใบเหลืองใบแดงที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่อื้ออึงเพราะเรื่องนี้เป็นอำนาจสิทธิขาดของท่าน จะไม่พูดถึงการที่ท่านถูกกดดัน ถึงการวิ่ง และการใช้อิทธิพลที่ไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายซึ่งมีอยู่ตามวัฒนธรรมและโครงสร้างทางการเมืองของไทย เรื่องเหล่านี้สื่อและวงวิชาการต่างก็ล้มเหลวที่จะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ในการให้ข้อมูลกับประชาชนเยี่ยงสื่อและวงวิชาการในประเทศประชาธิปไตยที่แท้จริง

ขณะนี้อนาคตของการเลือกตั้งแขวนอยู่บนเส้นด้าย ผมจะแปลกใจมากหากการเลือกตั้งไม่ถูกสั่งเป็นโมฆะ แต่ผมจะไม่แปลกใจเลยที่การเลือกตั้งเป็นโมฆะ และผมก็ไม่แปลกใจด้วยที่พรรคประชาธิปัตย์จะเอาครึ่งๆ กลางๆ อาศัยว่าใบแดงหรือใบเหลืองของตนน้อยกว่าพรรคอื่น และโอกาสที่พรรคอื่นจะถูกยุบแต่ตนรอด จะได้เล็ดลอดเข้ามาเป็นรัฐบาลได้ จึงต้องบังคับลูกพรรคของตนให้ถอนฟ้องเลือกตั้งโมฆะเสีย ความจริงพรรคประชาธิปัตย์น่าจะแสดงตัวอย่างเคารพกฎหมายตั้งแต่หัวจรดหางทั้งระบบ เมื่อมีการละเมิดกฎหมายเลือกตั้งจะต้องเป็นโมฆะ ก็ต้องเอาด้วย ไม่ใช่เอาแต่สิ่งที่ตนจะได้ประโยชน์ ความเคารพต่อกฎหมายในแง่นี้ของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ต่างกับนายบรรหารเลย ทั้งคู่คงจะเชื่อสนิทด้วยว่าลูกพรรคของตนไม่มีเลยใช้เงินเกินกำหนดของผู้สมัครที่กฎหมายกำหนด

เป็นอันว่า ผมฟันธงว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโมฆะ เหตุผลเฉพาะการกระทำ 2-3 อย่างแบบเย้ยฟ้าท้าดินของ กกต.เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ดังนี้

เย้ยฟ้า ท้าดินเรื่องการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขต ทำให้

1. ผิดพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ว่า “ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนเป็นการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550”

2. การเลือกตั้งทั่วไปในระบอบประชาธิปไตยทุกประเทศจะต้องทำวันเดียวกันหมด ในเวลาเดียวกัน แม้ประเทศใหญ่ที่มีเขตเวลาต่างกันก็จะต้องใช้เวลาจากเข็มนาฬิกาให้ตรงกันทุกแห่ง ไม่เชื่องลองเปิดค้นในอินเทอร์เน็ตดูจะเห็นรายการเป็นหมื่น ระบุข้อความว่า General Election Same Day same time ข้อความเป็นอย่างอื่นไม่มี

3. การเลือกตั้งล่วงหน้าแบบนอกเขตก็ดีหรือ Absentee Ballot ก็ดีจะกระทำได้ โดยมีเหตุผล การขออนุญาตล่วงหน้า และการเตรียมการเลือกตั้งที่แน่นอน แต่การลงคะแนนเสียงล่วงหน้าในเขตของตนเองที่ไม่มีเหตุขัดข้องและไม่ได้ไปไหนอยู่แล้วทุกตำบลหมู่บ้านทุกเขตเลือกตั้งจะกระทำมิได้

4. กกต.ไม่มีอำนาจจัดการล่วงหน้าในเขตเพราะถ้าจัดก็จะไม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปทันที แม้การจัดการเลือกตั้งนอกเขตตามมาตรา 94 และ 95 ก็จะนำมาอ้างไม่ได้เพราะไม่ใช่เรื่องเดียวกัน อนึ่งการเลือกตั้งดังกล่าวก็จะต้องมีเหตุผลและคำขอ ไม่ใช่ถือบัตรประจำตัวลอยๆ เข้าไปหาเสมียนแล้วก็เอาแบบฟอร์มมากรอกเอาเองอย่างที่ปรากฏแทบทุกเขต

5.นอกจาก กกต.จะจัดการเลือกตั้งในเขตล่วงหน้าถึง 2 วันติดกัน คือ 15 และ 16 ธันวาคม แล้ว กกต.ยังขยายเวลาให้นานกว่าที่กฎหมายมาตรา 62 กำหนดในการลงคะแนนการเลือกตั้งทั่วไปคือระหว่าง 08.00 น. ถึง 15.00 น. แต่นี่ กกต.ขยายเวลาให้ 2 วันและขยายเวลาไปจนถึง 17.00 น. กกต.เอาอำนาจและเหตุผลตามกฎหมายใดมาให้สิทธิพิเศษแก่คนส่วนน้อยมากกว่าผู้เลือกตั้งทั่วไป

6. ในการเลือกตั้งทั่วๆ ไปจะต้องมีขั้นตอนและมาตรการเพื่อเป็นหลักประกันความสุจริตยุติธรรมของการเลือกตั้ง เช่น การตั้งเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งจำนวน 9 คน ตามมาตรา 16 และขั้นตอนการเปิดปิดลงคะแนน การให้พรรคการเมืองตั้งผู้สังเกตการณ์ ซึ่งไม่มีการกระทำเช่นนี้เลยในการลงคะแนนล่วงหน้า คะแนนที่ออกมาจึงมีลักษณะขนได้ขนเอาตามแต่พรรคใดจะคุมหน่วยเลือกตั้งใดได้ คะแนนที่ออกมาจึงมีผลตัดสินและลบล้างคะแนนที่ลงในวันที่ 23 ธันวาคม เกือบทุกเขต อย่างนี้ถือว่าขาดความสุจริตยุติธรรมโดยสิ้นเชิง

เรื่องเดียวแค่นี้ก็ทำให้การเลือกตั้งไปไม่รอดแล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่ กกต.ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง การจดทะเบียนแบบปล่อยปละละเลยเปิดให้มีนอมินีในการบริหารพรรคและการเลือกตั้ง และเรื่อง กกต.ทำออกนอกหน้าและเกินหน้าที่ที่จะรีบให้เปิดการประชุมสภา แทนที่จะทำหน้าที่วินิจฉัยการเลือกตั้งให้ถูกต้องถี่ถ้วน ทั้งหมดนี้นอกจากการเลือกตั้งจะเป็นโมฆะแล้ว กกต.จะต้องได้รับโทษฐานบกพร่องและไม่ปฏิบัติตามหน้าที่

ฉบับหน้าผมจะพูดถึงการบริหารเลือกตั้ง การละเมิดกฎหมายเลือกตั้งโดย กกต. พรรคการเมือง ผู้สมัคร และขบวนการออกใบแดงใบเหลืองหรือละเว้นการออกที่มิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะยังผลให้ กกต.เองถูกใบแดง และพรรคการเมืองถูกใบแดงและยุบพรรคเกือบทุกพรรค

คงจะไม่เร็วเกินไปที่ผมจะฟันธงว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ พรรคการเมืองจะถูกยุบอย่างน้อย 3 พรรค การเมืองไทยจะเคลื่อนเข้าสู่สุญญากาศ ผลักให้บ้านเมืองเราเข้าสู่กลียุคหรือจะผันวิกฤตให้เป็นโอกาสได้อีกครั้งหนึ่ง

คนไทยจะต้องพิสูจน์ว่าระหว่างกฎหมายกับกฎหมู่ เมื่อถึงเวลาจริงๆ เราจะเลือกอะไร คราวนี้ใครจะเป็นคนร้องเพลงเย้ยฟ้าท้าดินกันแน่ คงจะรู้กันในไม่นาน
กำลังโหลดความคิดเห็น