ท่านที่ปรึกษาคงทราบข่าวคราวของผมจากปีกมาบ้างแล้ว และคงเข้าใจว่าปีกเป็นอย่างไร ผมก็คงเป็นอย่างนั้น มิฉะนั้นไหนเลยจะคบหาเป็นเพื่อนกันได้ แล้วท่านก็บอกว่ามาแนวเดียวกับปีกเลย ซึ่งหมายความว่ามาขอเข้าทำงาน ทั้ง ๆ ที่ยังเรียนไม่จบการศึกษา เพียงเพื่อหวังหารายได้ไปสนุกสนานเฮฮาเพิ่มเติมเท่านั้น
ท่านได้ไต่ถามประวัติความเป็นมาของผมเป็นช้าเป็นนาน และพอทราบว่าผมคุ้นเคยกับพระ คุ้นเคยกับวัด ก็ดูเหมือนว่าท่านให้ความสนใจมากขึ้นเป็นพิเศษ สีหน้าและนัยน์ตาแสดงออกถึงความเมตตาให้ปรากฏอย่างชัดเจน
ท่านนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็บอกว่า ตัวเรานี้ก็เป็นเด็กบ้านนอก เป็นชาวอยุธยา คุ้นเคยอยู่กับวัด รักและสนใจในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า การเป็นนักกฎหมายหากรู้จักพระธรรมคำสอนเป็นอย่างดีแล้ว ก็จะเป็นประโยชน์แก่การประกอบอาชีพและการทำหน้าที่อย่างยิ่ง
แล้วท่านก็ถามว่าหัดเล่นหมากรุกมากี่ปีแล้ว ผมก็บอกว่าเดิมทีผมเป็นนักหมากฮอส เล่นหมากฮอสได้ดี เคยเป็นนักกีฬาสี และก็เป็นนักกีฬาหมากฮอสของมหาวิทยาลัยด้วย เล่นหมากฮอสจนหาคนต่อสู้ยากแล้วจึงมาฝึกเล่นหมากรุก ก็รู้สึกสนุก และฝึกเล่นไปเรื่อย ๆ
เพราะประหม่าหรือเพราะฝังในน้ำใจลึกที่อยากจะลองฝีมือหมากรุกกันก็ไม่รู้ได้ ผมได้บอกท่านว่าถ้ามีเวลาผมอยากจะขอลองเล่นหมากรุกกับท่านสักหน่อยหนึ่ง
ท่านที่ปรึกษาได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วบอกว่าเรียนหนังสือให้จบเสียก่อนแล้วค่อยมาพูดกันเรื่องหมากรุก ซึ่งในภายหลังผมคิดได้ว่าตัวผมนี้ช่างบังอาจเหลือเกินที่ไปชวนท่านเล่นหมากรุก เพราะโดยฐานะหน้าที่ก็ห่างไกลกันลิบลับ เป็นเด็กสิไม่สำเหนียกในกิริยามารยาท ริอ่านไปท้าผู้ใหญ่เล่นหมากรุก นับว่าเป็นเรื่องไม่เข้าท่าอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องไม่เข้าท่าที่เกิดขึ้นในครั้งแรกที่พบปะกับคนซึ่งมีความยิ่งใหญ่ทางภูมิปัญญาขนาดนั้น
และที่สำคัญ ผมไม่ได้ล่วงรู้มาก่อนเลยว่าท่านที่ปรึกษาผู้นี้เป็นยอดนักหมากรุกที่มีฝีมือเป็นเอกของกระทรวงยุติธรม มีฝีมือเลิศล้ำโดดเด่นเป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียวมานานนักหนาแล้ว และเป็นนักหมากรุกตัวยงของวงการศาลยุติธรรม
ผมได้ทราบภายหลังว่าท่านผู้นี้ไปเป็นผู้พิพากษาอยู่ที่ไหน ก็จะให้จ่าศาลหรือตำรวจไปเที่ยวเรียกใครต่อใครที่เป็นนักหมากรุกมาเล่นหมากรุกด้วยกัน จนหาใครในแต่ละเมืองต่อสู้ไม่ได้แล้ว ท่านก็จะเรียกผู้บังคับบัญชาเรือนจำของจังหวัดมาไต่ถามว่ามีนักหมากรุกฝีมือดีต้องขังอยู่หรือไม่ และถ้าหากมีบางครั้งท่านก็ขอให้เรือนจำเบิกตัวออกมาเล่นหมากรุกที่บ้านพัก และถ้ามีฝีมือดีพอจะเล่นกันได้ ท่านก็รักที่จะให้เบิกตัวออกมาเล่นหมากรุกกันเป็นประจำ
กิตติศัพท์ความเป็นนักหมากรุกเช่นนี้ลือกระฉ่อนไปทั่ว ท่านไปเป็นผู้พิพากษาอยู่ที่จังหวัดไหนจึงมักที่จะได้รับกระดานหมากรุกและตัวหมากรุกแกะสลักอย่างสุดยอดสวยงามจากทางเรือนจำอยู่เสมอ
และจัดว่าเป็นนักหมากรุกที่มีกระดานหมากรุกและตัวหมากรุกนานาชนิดมากที่สุดท่านหนึ่ง มีกระดานหมากรุกเป็นไม้นานาชนิด มีทั้งกระดานหมากรุกไม้ฝังมุก มีตัวหมากรุกที่ทำด้วยวัสดุนานาชนิด แม้กระทั่งที่ทำด้วยงาช้าง
ท่านที่ปรึกษารักหมากรุกเป็นชีวิตจิตใจ ไปรับราชการถึงไหนก็หาเพื่อนวงการหมากรุกทุกหนทุกแห่งไป ทำให้รู้จักมักคุ้นกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงมหาดไทยท่านหนึ่งซึ่งเป็นนักหมากรุกเหมือนกันคือคุณชะลอ วะนะภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย สองท่านนี้เล่นหมากรุกกันเป็นประจำตั้งแต่ยังรับราชการอยู่ในต่างจังหวัดด้วยกัน และแม้กระทั่งเข้ามารับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วก็ยังเล่นหมากรุกกันอย่างสนิทสนม
ในบางครั้งนัดกันไปเล่นหมากรุกที่ริมคลองหลอด จนเป็นที่ฮือฮาของผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีก็เดินทางไปเล่นหมากรุกกันที่ต่างจังหวัด ไปถึงตลาดไหนเห็นเขาเล่นหมากรุกกันก็แวะเล่นหมากรุกด้วย บางทีวงหมากรุกนั้นเล่นการพนัน ทั้งสองท่านนี้ไม่รู้ว่าเป็นการเล่นพนันก็เข้าไปนั่งดู
มีอยู่คราวหนึ่ง คุณชะลอ วะนะภูติ เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทยแล้ว คุณบุศย์ ขันธวิทย์ ก็เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาแล้ว เดินทางไปเล่นหมากรุกกันที่ต่างจังหวัด แล้วเห็นเขาเล่นหมากรุกกันที่ตลาดสิงห์บุรีจึงแวะเข้าไปนั่งดู แต่เผอิญวงหมากรุกนั้นเล่นการพนัน ตำรวจมาจับและจับเอาสองท่านนี้รวมเข้าไปด้วย
ตำรวจที่มาจับคงไม่รู้ว่าทั้งสองท่านนี้เป็นใคร แต่คุณชะลอ วะนะภูติ นั้นได้ชื่อว่าเป็นมาเฟียมหาดไทย คือเป็นคนน้ำใจนักเลง ถูกจับแล้วก็ไม่เบ่งตรงๆ แต่กลับถามตำรวจว่าผู้ว่าราชการจังหวัดชื่ออะไร
เพียงได้ยินคำถามเช่นนี้ตำรวจที่มาจับก็งง แล้วก็ถามว่าท่านถามทำไม คุณชะลอ วะนะภูติ ก็บอกว่าให้วิทยุติดต่อไปที่จังหวัด บอกผู้ว่าราชการจังหวัดว่านายชะลอ วะนะภูติ ถูกจับเพราะเล่นหมากรุกการพนัน
ตำรวจคงเห็นท่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักจึงไม่กล้านำตัวไปโรงพัก แต่ยังคงวิทยุสอบถามไปที่สำนักงานจังหวัด เท่านั้นแหละท่าทีของตำรวจก็เปลี่ยนไป เป็นแสดงความเคารพและขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
ไม่ถึงสิบนาทีเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของสำนักงานจังหวัดและหัวหน้าตำรวจก็พากันมาที่ตลาด แล้วเชิญทั้งสองท่านไปรับประทานอาหารเที่ยง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง
คุณบุศย์ ขันธวิทย์ รู้จักมักคุ้นเป็นอันดีกับจอมพลถนอม กิตติขจร ตั้งแต่เมื่อครั้งที่จอมพลถนอม กิตติขจร ยังเป็นนายทหารระดับผู้บังคับกองพันอยู่ในต่างจังหวัด และรู้จักกันครั้งแรกก็เพราะได้รับการขอร้องให้แสวงหาบรรดาทหารที่เป็นนักเล่น หมากรุกมาเล่นหมากรุกด้วย
จากนั้นทั้งสองท่านนี้ก็คบหากันเป็นมิตรสนิทเรื่อยมาจนกระทั่งตายจากกัน
เพราะเป็นคนอยุธยา ท่านที่ปรึกษาจึงมักเดินทางไปจังหวัดอยุธยาเป็นประจำ เป็นการเดินทางด้วยกิจกรรมสองอย่าง คือไปพัฒนาวัดที่บ้านเกิดของท่านอย่างหนึ่ง และไปเล่นหมากรุกอีกอย่างหนึ่ง
เวลาไปเล่นหมากรุกก็ไปเล่นกันหามรุ่งหามค่ำ เล่นกันทั้งวันทั้งคืน โดยมีคณะพระสงฆ์คณะหนึ่งเป็นขาหมากรุก และเป็นขาหมากรุกกันมานานตั้งแต่หนุ่ม ๆ ด้วยกัน องค์หนึ่งเป็นพระครูผู้ใหญ่อยู่วัดพนัญเชิง อีกองค์หนึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดรัตนชัยหรือที่เรียกว่าวัดจีน
ท่านพระครูวัดพนัญเชิงเวลาเล่นหมากรุกมักจะนั่งพับเพียบเอาขาขวาทับบนขาซ้าย และสูบบุหรี่ตลอดเวลา ท่านเป็นพระนักบู๊ เวลาเล่นหมากรุกก็จะพูดว่าบุกเข้าไป หรือรุกเข้าไป บางทีเดินหมากรุกเสียทีเป็นรอง ถูกเขารุกหรือถูกเขาบุกจนถอยร่นไม่เป็นท่า แต่พอเวลาจะเดินท่านพระครูก็ยังพูดว่ารุกเข้าไป รุกเข้าไป จนท่านพระครูวัดจีนบางครั้งก็ทนไม่ไหว เยาะเอาว่าท่านพระครูนี่แปลก หมากจะจนกลางกระดานอยู่แล้ว ยังจะรุกอะไรอีก หรือว่าจะลุกออกจากวงกันแน่
ต่างกับท่านพระครูวัดจีน เป็นคนสุขุม นุ่มนวล ลุ่มลึก เดินแต่ละแต้มแต่ละตาถึงแม้จะช้าไปบ้างแต่ก็หนักหน่วง กระบวนรับเชิงรุก กระบวนรุกเชิงรับและกระบวนหลอกล่อดูแพรวพราวไปหมด
ทั้งท่านปลัดชะลอ วะนะภูติ ท่านพระครูวัดจีน และท่านพระครูวัดพนัญเชิงมักจะเรียกคุณบุศย์ ขันธวิทย์ ว่ามหาบุศย์ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วคุณบุศย์ ขันธวิทย์ แม้จะเคยบวชเรียนมาบ้างก็เป็นห้วงเวลาสั้น ๆ ไม่เคยจบการเรียนปริยัติธรรมถึงชั้นประโยคสามเลย จึงไม่อาจเรียกคำนำหน้าว่ามหาได้
เพราะคำว่ามหานั้นเป็นคำที่ใช้สำหรับพระที่บวชแล้วเรียนพระปริยัติธรรมได้ชั้นประโยคสาม เมื่อสอบได้ประโยคสามแล้ว เขาก็จะเรียกกันว่าพระมหา คือใช้คำว่ามหานำหน้านามของพระผู้นั้น บางครั้งเมื่อสึกออกมาแล้วผู้คนก็คุ้นปาก คงเรียกว่ามหาอยู่เหมือนเดิม
ทั้งปลัดชะลอ วนะภูติ และท่านพระครูทั้งสององค์ แม้กระทั่งชาวอยุธยาที่เป็นขาหมากรุกหรือพวกหมากรุกข้างกระดานต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณบุศย์ ขันธวิทย์ นั้นไม่ใช่มหาธรรมดา แต่เป็นมหาสิบประโยค.
โปรดติดตามตอนที่ 67 “ขุมทรัพย์อันล้ำค่า ตอน 1” ในวันที่ 11 มกราคม 2551
ท่านได้ไต่ถามประวัติความเป็นมาของผมเป็นช้าเป็นนาน และพอทราบว่าผมคุ้นเคยกับพระ คุ้นเคยกับวัด ก็ดูเหมือนว่าท่านให้ความสนใจมากขึ้นเป็นพิเศษ สีหน้าและนัยน์ตาแสดงออกถึงความเมตตาให้ปรากฏอย่างชัดเจน
ท่านนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็บอกว่า ตัวเรานี้ก็เป็นเด็กบ้านนอก เป็นชาวอยุธยา คุ้นเคยอยู่กับวัด รักและสนใจในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า การเป็นนักกฎหมายหากรู้จักพระธรรมคำสอนเป็นอย่างดีแล้ว ก็จะเป็นประโยชน์แก่การประกอบอาชีพและการทำหน้าที่อย่างยิ่ง
แล้วท่านก็ถามว่าหัดเล่นหมากรุกมากี่ปีแล้ว ผมก็บอกว่าเดิมทีผมเป็นนักหมากฮอส เล่นหมากฮอสได้ดี เคยเป็นนักกีฬาสี และก็เป็นนักกีฬาหมากฮอสของมหาวิทยาลัยด้วย เล่นหมากฮอสจนหาคนต่อสู้ยากแล้วจึงมาฝึกเล่นหมากรุก ก็รู้สึกสนุก และฝึกเล่นไปเรื่อย ๆ
เพราะประหม่าหรือเพราะฝังในน้ำใจลึกที่อยากจะลองฝีมือหมากรุกกันก็ไม่รู้ได้ ผมได้บอกท่านว่าถ้ามีเวลาผมอยากจะขอลองเล่นหมากรุกกับท่านสักหน่อยหนึ่ง
ท่านที่ปรึกษาได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วบอกว่าเรียนหนังสือให้จบเสียก่อนแล้วค่อยมาพูดกันเรื่องหมากรุก ซึ่งในภายหลังผมคิดได้ว่าตัวผมนี้ช่างบังอาจเหลือเกินที่ไปชวนท่านเล่นหมากรุก เพราะโดยฐานะหน้าที่ก็ห่างไกลกันลิบลับ เป็นเด็กสิไม่สำเหนียกในกิริยามารยาท ริอ่านไปท้าผู้ใหญ่เล่นหมากรุก นับว่าเป็นเรื่องไม่เข้าท่าอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องไม่เข้าท่าที่เกิดขึ้นในครั้งแรกที่พบปะกับคนซึ่งมีความยิ่งใหญ่ทางภูมิปัญญาขนาดนั้น
และที่สำคัญ ผมไม่ได้ล่วงรู้มาก่อนเลยว่าท่านที่ปรึกษาผู้นี้เป็นยอดนักหมากรุกที่มีฝีมือเป็นเอกของกระทรวงยุติธรม มีฝีมือเลิศล้ำโดดเด่นเป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียวมานานนักหนาแล้ว และเป็นนักหมากรุกตัวยงของวงการศาลยุติธรรม
ผมได้ทราบภายหลังว่าท่านผู้นี้ไปเป็นผู้พิพากษาอยู่ที่ไหน ก็จะให้จ่าศาลหรือตำรวจไปเที่ยวเรียกใครต่อใครที่เป็นนักหมากรุกมาเล่นหมากรุกด้วยกัน จนหาใครในแต่ละเมืองต่อสู้ไม่ได้แล้ว ท่านก็จะเรียกผู้บังคับบัญชาเรือนจำของจังหวัดมาไต่ถามว่ามีนักหมากรุกฝีมือดีต้องขังอยู่หรือไม่ และถ้าหากมีบางครั้งท่านก็ขอให้เรือนจำเบิกตัวออกมาเล่นหมากรุกที่บ้านพัก และถ้ามีฝีมือดีพอจะเล่นกันได้ ท่านก็รักที่จะให้เบิกตัวออกมาเล่นหมากรุกกันเป็นประจำ
กิตติศัพท์ความเป็นนักหมากรุกเช่นนี้ลือกระฉ่อนไปทั่ว ท่านไปเป็นผู้พิพากษาอยู่ที่จังหวัดไหนจึงมักที่จะได้รับกระดานหมากรุกและตัวหมากรุกแกะสลักอย่างสุดยอดสวยงามจากทางเรือนจำอยู่เสมอ
และจัดว่าเป็นนักหมากรุกที่มีกระดานหมากรุกและตัวหมากรุกนานาชนิดมากที่สุดท่านหนึ่ง มีกระดานหมากรุกเป็นไม้นานาชนิด มีทั้งกระดานหมากรุกไม้ฝังมุก มีตัวหมากรุกที่ทำด้วยวัสดุนานาชนิด แม้กระทั่งที่ทำด้วยงาช้าง
ท่านที่ปรึกษารักหมากรุกเป็นชีวิตจิตใจ ไปรับราชการถึงไหนก็หาเพื่อนวงการหมากรุกทุกหนทุกแห่งไป ทำให้รู้จักมักคุ้นกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงมหาดไทยท่านหนึ่งซึ่งเป็นนักหมากรุกเหมือนกันคือคุณชะลอ วะนะภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย สองท่านนี้เล่นหมากรุกกันเป็นประจำตั้งแต่ยังรับราชการอยู่ในต่างจังหวัดด้วยกัน และแม้กระทั่งเข้ามารับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วก็ยังเล่นหมากรุกกันอย่างสนิทสนม
ในบางครั้งนัดกันไปเล่นหมากรุกที่ริมคลองหลอด จนเป็นที่ฮือฮาของผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีก็เดินทางไปเล่นหมากรุกกันที่ต่างจังหวัด ไปถึงตลาดไหนเห็นเขาเล่นหมากรุกกันก็แวะเล่นหมากรุกด้วย บางทีวงหมากรุกนั้นเล่นการพนัน ทั้งสองท่านนี้ไม่รู้ว่าเป็นการเล่นพนันก็เข้าไปนั่งดู
มีอยู่คราวหนึ่ง คุณชะลอ วะนะภูติ เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทยแล้ว คุณบุศย์ ขันธวิทย์ ก็เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาแล้ว เดินทางไปเล่นหมากรุกกันที่ต่างจังหวัด แล้วเห็นเขาเล่นหมากรุกกันที่ตลาดสิงห์บุรีจึงแวะเข้าไปนั่งดู แต่เผอิญวงหมากรุกนั้นเล่นการพนัน ตำรวจมาจับและจับเอาสองท่านนี้รวมเข้าไปด้วย
ตำรวจที่มาจับคงไม่รู้ว่าทั้งสองท่านนี้เป็นใคร แต่คุณชะลอ วะนะภูติ นั้นได้ชื่อว่าเป็นมาเฟียมหาดไทย คือเป็นคนน้ำใจนักเลง ถูกจับแล้วก็ไม่เบ่งตรงๆ แต่กลับถามตำรวจว่าผู้ว่าราชการจังหวัดชื่ออะไร
เพียงได้ยินคำถามเช่นนี้ตำรวจที่มาจับก็งง แล้วก็ถามว่าท่านถามทำไม คุณชะลอ วะนะภูติ ก็บอกว่าให้วิทยุติดต่อไปที่จังหวัด บอกผู้ว่าราชการจังหวัดว่านายชะลอ วะนะภูติ ถูกจับเพราะเล่นหมากรุกการพนัน
ตำรวจคงเห็นท่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักจึงไม่กล้านำตัวไปโรงพัก แต่ยังคงวิทยุสอบถามไปที่สำนักงานจังหวัด เท่านั้นแหละท่าทีของตำรวจก็เปลี่ยนไป เป็นแสดงความเคารพและขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
ไม่ถึงสิบนาทีเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของสำนักงานจังหวัดและหัวหน้าตำรวจก็พากันมาที่ตลาด แล้วเชิญทั้งสองท่านไปรับประทานอาหารเที่ยง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง
คุณบุศย์ ขันธวิทย์ รู้จักมักคุ้นเป็นอันดีกับจอมพลถนอม กิตติขจร ตั้งแต่เมื่อครั้งที่จอมพลถนอม กิตติขจร ยังเป็นนายทหารระดับผู้บังคับกองพันอยู่ในต่างจังหวัด และรู้จักกันครั้งแรกก็เพราะได้รับการขอร้องให้แสวงหาบรรดาทหารที่เป็นนักเล่น หมากรุกมาเล่นหมากรุกด้วย
จากนั้นทั้งสองท่านนี้ก็คบหากันเป็นมิตรสนิทเรื่อยมาจนกระทั่งตายจากกัน
เพราะเป็นคนอยุธยา ท่านที่ปรึกษาจึงมักเดินทางไปจังหวัดอยุธยาเป็นประจำ เป็นการเดินทางด้วยกิจกรรมสองอย่าง คือไปพัฒนาวัดที่บ้านเกิดของท่านอย่างหนึ่ง และไปเล่นหมากรุกอีกอย่างหนึ่ง
เวลาไปเล่นหมากรุกก็ไปเล่นกันหามรุ่งหามค่ำ เล่นกันทั้งวันทั้งคืน โดยมีคณะพระสงฆ์คณะหนึ่งเป็นขาหมากรุก และเป็นขาหมากรุกกันมานานตั้งแต่หนุ่ม ๆ ด้วยกัน องค์หนึ่งเป็นพระครูผู้ใหญ่อยู่วัดพนัญเชิง อีกองค์หนึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดรัตนชัยหรือที่เรียกว่าวัดจีน
ท่านพระครูวัดพนัญเชิงเวลาเล่นหมากรุกมักจะนั่งพับเพียบเอาขาขวาทับบนขาซ้าย และสูบบุหรี่ตลอดเวลา ท่านเป็นพระนักบู๊ เวลาเล่นหมากรุกก็จะพูดว่าบุกเข้าไป หรือรุกเข้าไป บางทีเดินหมากรุกเสียทีเป็นรอง ถูกเขารุกหรือถูกเขาบุกจนถอยร่นไม่เป็นท่า แต่พอเวลาจะเดินท่านพระครูก็ยังพูดว่ารุกเข้าไป รุกเข้าไป จนท่านพระครูวัดจีนบางครั้งก็ทนไม่ไหว เยาะเอาว่าท่านพระครูนี่แปลก หมากจะจนกลางกระดานอยู่แล้ว ยังจะรุกอะไรอีก หรือว่าจะลุกออกจากวงกันแน่
ต่างกับท่านพระครูวัดจีน เป็นคนสุขุม นุ่มนวล ลุ่มลึก เดินแต่ละแต้มแต่ละตาถึงแม้จะช้าไปบ้างแต่ก็หนักหน่วง กระบวนรับเชิงรุก กระบวนรุกเชิงรับและกระบวนหลอกล่อดูแพรวพราวไปหมด
ทั้งท่านปลัดชะลอ วะนะภูติ ท่านพระครูวัดจีน และท่านพระครูวัดพนัญเชิงมักจะเรียกคุณบุศย์ ขันธวิทย์ ว่ามหาบุศย์ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วคุณบุศย์ ขันธวิทย์ แม้จะเคยบวชเรียนมาบ้างก็เป็นห้วงเวลาสั้น ๆ ไม่เคยจบการเรียนปริยัติธรรมถึงชั้นประโยคสามเลย จึงไม่อาจเรียกคำนำหน้าว่ามหาได้
เพราะคำว่ามหานั้นเป็นคำที่ใช้สำหรับพระที่บวชแล้วเรียนพระปริยัติธรรมได้ชั้นประโยคสาม เมื่อสอบได้ประโยคสามแล้ว เขาก็จะเรียกกันว่าพระมหา คือใช้คำว่ามหานำหน้านามของพระผู้นั้น บางครั้งเมื่อสึกออกมาแล้วผู้คนก็คุ้นปาก คงเรียกว่ามหาอยู่เหมือนเดิม
ทั้งปลัดชะลอ วนะภูติ และท่านพระครูทั้งสององค์ แม้กระทั่งชาวอยุธยาที่เป็นขาหมากรุกหรือพวกหมากรุกข้างกระดานต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณบุศย์ ขันธวิทย์ นั้นไม่ใช่มหาธรรมดา แต่เป็นมหาสิบประโยค.
โปรดติดตามตอนที่ 67 “ขุมทรัพย์อันล้ำค่า ตอน 1” ในวันที่ 11 มกราคม 2551