xs
xsm
sm
md
lg

ยูทูบเบอร์ลง สส. ได้!? กกต. เปิดทางสู่สนามการเมืองไทยยุคแพลตฟอร์ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ถือเป็นข่าวการเมืองที่สะเทือนมาถึงวงการเทคโนโลยีและครีเอเตอร์อย่างคาดไม่ถึง เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ออกมาชี้แจงชัดว่า *อินฟลูเอนเซอร์ ยูทูบเบอร์ และคอนเทนต์ครีเอเตอร์* สามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง สส. ได้ โดยไม่ผิดกฎหมายหุ้นสื่อ

เหตุผลสำคัญคือคนกลุ่มนี้ถูกจัดว่าเป็นเพียง "ผู้ใช้สื่อ" (platform user) ไม่ใช่ "เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชน" ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ

ประเด็นนี้ถูกหยิบมาขยายต่อในโลกโซเชียลอย่างคึกคัก โดยเพจ Drama-addict ได้แชร์เนื้อหาจากเพจ OnlineStation พร้อมอธิบายให้เข้าใจง่ายว่า ครีเอเตอร์ที่ทำคอนเทนต์ ได้รายได้จากแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Facebook หรือแอปอื่น ๆ จะไม่เข้าข่ายผิดกฎหมายการเมือง

ทันทีที่โพสต์เผยแพร่ออกไป คอมเมนต์มากมายหลั่งไหลมาแทบไม่หยุด เต็มไปด้วยมุก เสียดสี และจินตนาการทางการเมือง ตั้งแต่ “รัฐมนตรีกระทรวงบะหมี่” ไปจนถึง “กระทรวงดิจิทัลและเวทมนตร์”



ปรากฎการณ์นี้สะท้อนภาพหนึ่งที่น่าสนใจมาก นั่นคือสังคมไทยเริ่มมองอินฟลูเอนเซอร์ในฐานะ "ผู้เล่นทางการเมืองที่เป็นไปได้" ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป

จากคอมเมนต์บนโลกโซเชียล ชื่อของ 9arm (นายอาร์ม) หรือ ดร.ธนานนท์ ปฏิญญาศักดิกุล ครีเอเตอร์สายไอทีชื่อดังถูกพูดถึงด้วยโทนสนุกสนาน เพราะประเทศไทยได้เปิดทางเชิงกฎหมายให้คนแบบ 9arm ลงสนามการเมืองได้ชัดเจนขึ้น หากเจ้าตัวเลือกเดินเส้นนั้น

ต้องย้ำชัด ๆ ตรงนี้ว่า 9arm ไม่ได้ประกาศลงสมัครทางการเมือง และไม่มีท่าทีจะลงสมัครในช่วงนี้ แต่การที่ชื่อของ 9arm ถูกหยิบมาอ้างถึง สะท้อนบางอย่างที่น่าสนใจเชิงสังคมและวงการออนไลน์

กฎหมายไทย กำลังปรับตัวตามโลกแพลตฟอร์ม
หากจะวิเคราะห์ในมุมข่าวเทคโนโลยี เราต้องยอมรับว่ากฎหมายกำลังปรับตัวตามโลกแพลตฟอร์ม เพราะรัฐเริ่มแยกออกชัดเจนว่า "คนทำคอนเทนต์ ≠ เจ้าของสื่อ” ถือเป็นความเข้าใจใหม่ของภาครัฐต่อเศรษฐกิจดิจิทัล

นอกจากนี้ อีก "อสมการ" ที่คนไทยต้องเรียนวันนี้คือ "ความนิยม ≠ ความสามารถทางนโยบาย" เพราะแม้หลายคอมเมนต์จะพูดขำ ๆ ว่าใครมีผู้ติดตามมาก ก็อาจชนะเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริง กกต. กำลัง “เข้ม” มากกับนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายที่ใช้เงิน ต้องมีที่มา มีตัวเลข และมีความคุ้มค่า

หากมองอย่างเป็นกลาง ครีเอเตอร์ในเกมการเมืองย่อมมีความได้เปรียบเพราะถูกจดจำในฐานะคนที่อธิบายเก่ง แถมยังตั้งคำถามกับโครงสร้างได้อย่างโดนใจผู้ชม ซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะที่เข้ากับการเมืองเชิงนโยบายดีมาก

ที่สุดแล้ว ปรากฏการณ์ "ยูทูบเบอร์ลง สส. ได้" นี้ไม่ได้บอกว่าอินฟลูเอนเซอร์ควรเป็นนักการเมือง แต่เป็นการบอกว่าถ้าวันหนึ่ง อินฟลูเอนเซอร์จะก้าวเข้าสู่การเมือง กฎหมายไทยก็เปิดประตูไว้แล้ว ซึ่งตอนนี้ สังคมไทยก็เริ่มจินตนาการไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าคนทำคอนเทนต์จะมีบทบาททางนโยบายการเมืองไทยอย่างไร ในอนาคตที่สนามการเมืองยุคแพลตฟอร์มจะมาถึง.


กำลังโหลดความคิดเห็น