สถานการณ์ผลผลิตข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 คาดว่าจะมีปริมาณ 26.99 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 17.54 ล้านตันข้าวสาร โดยผลผลิตออกสู่ตลาดแล้ว 6.05 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 3.9 ล้านตันข้าวสาร คิดเป็น 22% ของผลผลิตทั้งหมด และขณะนี้เป็นช่วงพีก ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาดเป็นอย่างมาก แต่ความกังวลเรื่องราคาได้เบาลง และราคากำลังไต่ระดับปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่กรมการค้าภายใน ได้ขับเคลื่อนมาตรการดูแลราคาข้าวเปลือก ทั้งมาตรการเก่าและมาตรการใหม่ ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.)
โดยก่อนหน้านี้ ที่ประชุม นบข. ได้มีมาตรการดูแลราคาข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 จำนวน 3 มาตรการ และผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ได้แก่
1.โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ให้เกษตรกรเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางตนเอง 1–5 เดือน ได้รับค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน เป้าหมาย 3 ล้านตัน โดยราคาสินเชื่อข้าวหอมมะลิ 13,000 บาทต่อตัน ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ 11,500 บาทต่อตัน ข้าวเจ้า 8,000 บาทต่อตัน ข้าวหอมปทุมธานี 9,000 บาทต่อตัน ข้าวเหนียว 10,000 บาทต่อตัน
2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้สถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน
3.โครงการชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2568/69 โรงสีเก็บสต็อก 2–6 เดือน รัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป้าหมาย 4 ล้านตัน
นบข.สั่งดูแลข้าวไทยให้เหมาะสม
ต่อมา รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังคงให้เดินหน้ามาตรการดูแลราคาข้าวเปลือกต่อไป แต่ได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางมาตรการ และเพิ่มมาตรการใหม่ ใช้เป็นยาแรงฉุดราคาข้าวแบบทันท่วงที เพื่อดูแลราคาให้กับเกษตรกรในช่วงที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาด
โดยในการประชุม นบข. ที่มีนายอนุทิน เป็นประธาน เมื่อวันที่ 18 พ.ย.2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีการประเมินสถานการณ์ตลาดข้าวโลก พบว่า มีความผันผวนสูง แต่ก็เปิดโอกาสสำคัญให้กับประเทศไทย โดยมีความคืบหน้าในการเปิดตลาดข้าวที่สำคัญ คือ ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้กราบบังคมทูลต่อหน้าพระพักตร์ว่าจีนจะซื้อข้าวไทย 500,000 ตัน นับเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อราคาข้าวไทย และเป็นคำสั่งซื้อประวัติศาสตร์ในวาระการฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ไทย และไทยยังตกลงขายข้าวและอาหารล่วงหน้าให้แก่สิงคโปร์ 100,000 ตัน ที่เป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นในข้าวไทย
ขณะเดียวกัน ในช่วงการประชุม นบข. นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายในการดูแลข้าวไทย ต้องยึดหลักสำคัญ 3 ประการ คือ 1.บริหารจัดการราคาข้าวให้อยู่ในระดับเหมาะสม 2.เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของข้าวไทย ทั้งด้านคุณภาพ มาตรฐาน และโลจิสติกส์ และ 3.สร้างเสถียรภาพตลาด ทั้งตลาดภายในประเทศ และตลาดต่างประเทศควบคู่กันไป
ทบทวนสินเชื่อชะลอขายข้าวเปลือก
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีมติทบทวนแนวทางดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ให้เกษตรกรนำข้าวเปลือกเข้าฝากเก็บในยุ้งฉางเป็นระยะเวลา 1–5 เดือน ตั้งเป้าปริมาณ 3 ล้านตันข้าวเปลือก โดยทบทวนราคาสินเชื่อข้าวเจ้า ข้าวปทุมธานี และข้าวเหนียว ให้สอดคล้องกับราคาตลาดปัจจุบัน โดยเกษตรกรที่มียุ้งฉางของตัวเองจะได้ค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน
การปรับราคาสินเชื่อข้าวดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องสถานการณ์ราคาข้าวในปัจจุบัน และลดภาระงบประมาณของภาครัฐ ที่จะนำมาใช้ เพราะหากยังคงราคาสินเชื่อไว้สูง จะส่งผลให้ไม่มีเกษตรกรมาไถ่ถอน และจะเป็นภาระให้ภาครัฐต้องหาทางขายข้าว แต่การปรับราคา จะทำให้ข้าวที่เกษตรกรนำมาขอสินเชื่อ อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง
มอบ 3 หน่วยงานดูดซับ 3 ล้านตัน
นอกจากนี้ ที่ประชุม นบข. ยังได้มีมติเห็นชอบในหลักการจัดทำมาตรการ ภายใต้กรอบแนวคิด “ข้าวไทยสู่เศรษฐกิจอนาคต” (New Rice Economy) โดยมาตรการระยะสั้น เน้นการบริหารจัดการข้าวขาวที่มีส่วนเกิน ได้แก่ โครงการดูดซับข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 เป้าหมาย 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินจ่ายขาด 1,680 ล้านบาท เพื่อดูดซับซัปพลายในตลาด และระบายออกอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ตลาด และมีแผนนำข้าวเปลือกไปแปรรูปเป็นข้าวสารบรรจุถุงจำหน่าย เพื่อเชื่อมโยงไปยังหน่วยงานที่มีความต้องการใช้จริง อาทิ กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) หน่วยงานกองทัพ และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ
การดูดซับข้าวเปลือก 3 ล้านตันนี้ จะมีหน่วยงานรัฐ 3 หน่วยงาน เข้ามาบริหารจัดการ คือ องค์การคลังสินค้า (อคส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยแต่ละหน่วยงานจะรับซื้อตามศักยภาพของแต่ละหน่วยงาน ใครมีขีดความสามารถมาก ก็ซื้อมาก แต่ต้องอยู่ในเป้าหมาย 3 ล้านตัน ซึ่งขณะนี้ กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ
โรงสีแห่ร่วมชดเชยดอกเบี้ยเก็บสต๊อก
สำหรับความคืบหน้าการดำเนินมาตรการเดิม ที่ นบข. เคยอนุมัติไว้แล้ว อย่างโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าว ในการเก็บสต๊อกข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 มีความคืบหน้าต่อเนื่อง โดยล่าสุด ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการ โรงสี สถาบันเกษตรกรอย่างคึกคักตั้งแต่ต้นฤดูกาล โดยมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 217 ราย จาก 44 จังหวัดทั่วประเทศ จะดึงผลผลิตข้าวเปลือกนาปีเข้ามาเก็บสต๊อกมีเป้าหมาย 4 ล้านตัน เริ่มรับซื้อแล้วตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2568 ที่ผ่านมา
โดยข้าวที่รับซื้อจากเกษตรกร จะเก็บสต็อกไว้ 2–6 เดือน และรัฐจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา 3% ต่อปี เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้ผู้ประกอบการสามารถนำเงินไปซื้อข้าวเปลือกจากพี่น้องเกษตรกร มาเก็บไว้ในสต๊อกก่อนนำออกขายภายหลังฤดูกาล โดยเชื่อว่าการดำเนินโครงการจะช่วยดึงผลผลิตออกจากตลาดได้และจะส่งผลดีต่อราคาข้าวในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดกระจุกตัว และจะสามารถรักษาเสถียรภาพราคาข้าวภายในประเทศได้
น.ส.ญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรมได้ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อติดตามการรับซื้อข้าวเปลือกในโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก หลังจากที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2568 ซึ่งเริ่มเร็วกว่าปีก่อน เพื่อให้ผู้ประกอบการและโรงสีสามารถรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรได้ทันก่อนผลผลิตออกสู่ตลาด ปรากฏว่า ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ มีการเปิดจุดรับซื้อข้าวกันอย่างคึกคัก มีเกษตรกรนำผลผลิตเข้ามาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง
สำหรับจังหวัดอุบลราชธานี มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 11 ราย รวมวงเงินสินเชื่อกว่า 1,350 ล้านบาท คิดเป็นปริมาณข้าวกว่า 146,400 ตัน โดยหนึ่งในโรงสีหลัก คือ โรงสีข้าวยิ่งไพบูลย์ (2007) จำกัด ได้รับจัดสรรวงเงินสินเชื่อ 370 ล้านบาท เพื่อดูดซับข้าวกว่า 30,000 ตัน จากเกษตรกรในพื้นที่ ถือเป็นโรงสีที่มีความพร้อมทั้งด้านศักยภาพการผลิตและมาตรฐานคุณภาพได้รับการรับรอง GMP , ISO 9001:2015 และ Halal มีกำลังการสีข้าวกว่า 200 ตันต่อวัน
คุมเข้มเครื่องชั่ง-วัดความชื้น
น.ส.ญาณีกล่าวว่า กรมยังได้เดินหน้าสร้างความเป็นธรรมให้แก่พี่น้องเกษตรกร โดยได้สั่งการให้สำนักงานชั่งตวงวัดส่วนภูมิภาคลงพื้นที่ตรวจสอบเครื่องชั่งน้ำหนักรถบรรทุกและเครื่องวัดความชื้นของผู้ประกอบการรับซื้อข้าวเปลือกทั่วประเทศ เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่มีผลโดยตรงต่อราคารับซื้อ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรว่าการชั่งน้ำหนักและวัดความชื้นมีความเที่ยงตรง โปร่งใส และตรวจสอบได้
ส่วนเกษตรกร ขอให้เก็บเกี่ยวข้าวในช่วงเวลาที่เหมาะสม และให้ข้าวมีความชื้นมาตรฐาน 15% เพื่อให้จำหน่ายข้าวได้ราคาดีที่สุด
เปิดตลาดนัดข้าวเปลือกทุกภาค
นอกจากการขับเคลื่อนโครงการดูดซับผลผลิตข้าวเปลือก กรมการค้าภายในยังได้เดินหน้าจัดตลาดนัดข้าวเปลือกทั่วประเทศ โดยร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เริ่มจัดมาตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.2568 และจะจัดต่อเนื่องรวมกว่า 50 ครั้งใน 32 จังหวัด ครอบคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง จนถึงเดือน เม.ย.2569 โดยตลาดนัดข้าวเปลือกเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการจากนอกพื้นที่เข้าไปรับซื้อถึงแหล่งผลิตของเกษตรกร ลดภาระค่าขนส่ง เพิ่มช่องทางขายโดยตรง และแก้ปัญหาบางพื้นที่ ที่ไม่มีผู้รับซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
โดยผลการจัดตลาดนัดในช่วงที่ผ่านมา พบว่า มีผู้ประกอบการหลายรายเข้าไปรับซื้อในราคานำตลาดอย่างคึกคัก โดยราคารับซื้อในพื้นที่ตลาดนัดสูงกว่าตลาดทั่วไปเฉลี่ย 200–400 บาทต่อตัน ทำให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคา ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกในหลายจังหวัดปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาข้าวขยับขึ้นต่อเนื่อง
นายวิทยากรกล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ราคาข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากที่ นบข. ได้ออกมาตรการเร่งด่วนในการช่วยดูดซับปริมาณข้าวเปลือกออกจากระบบ รวมทั้งมีมาตรการก่อนหน้านี้ ทั้งชะลอการขายข้าว มาตรการรับฝากเก็บ รวมถึงการเร่งจัดตลาดนัดข้าวเปลือกทั่วประเทศ เพื่อพยุงราคา สร้างตลาด และเสริมรายได้ให้เกษตรกรในช่วงผลผลิตออกกระจุกตัว
โดยสถานการณ์ราคาล่าสุด ณ วันที่ 21 พ.ย.2568 ราคาข้าวเปลือกความชื้น 15% ปรับเพิ่มในแทบทุกชนิด โดยข้าวเปลือกหอมมะลิอยู่ที่ 15,100–16,500 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกปทุมธานี 8,000–8,300 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้า 6,300–7,200 บาทต่อตัน และข้าวเหนียว 8,000–10,500 บาทต่อตัน โดยราคาข้าวเปลือกหอมมะลิได้มีการปรับตัวขึ้นสูงสุดเกินกว่า 1,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้าปรับเพิ่มขึ้นสูงสุด 400 บาทต่อตัน เมื่อเทียบกับช่วงก่อนสัปดาห์ก่อน (14 พ.ย.2568) ถือเป็นหนึ่งฤดูกาลที่ราคาปรับตัวดีขึ้นเร็วที่สุดในรอบหลายปี
“มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกปีการผลิต 2568/69 ของ นบข. และการจัดตลาดนัดข้าวเปลือกทั่วประเทศ ได้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ทั้งในด้านราคาที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว สร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้แก่พี่น้องเกษตรกร โดยกรมจะขับเคลื่อนมาตรการต่อเนื่อง เพื่อรักษาราคาและสร้างเสถียรภาพให้ตลาดข้าวตลอดฤดูกาลผลิตปีนี้”นายวิทยากรกล่าว
ระยะยาวลุยโครงการ“ข้าวประณีต”
สำหรับมาตรการดูแลราคาข้าวในระยะยาว ที่ประชุม นบข. ได้อนุมัติโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าข้าวคุณภาพ (ข้าวประณีต) โดยศึกษาการปรับเปลี่ยนพื้นที่การเพาะปลูกข้าวนาปรังบางส่วน เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความต้องการของตลาด กำหนดกรอบไว้ที่ 1 ล้านไร่ โดยมอบหมายให้มีการพิจารณากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบก่อนดำเนินการ
นอกจากนี้ ให้เร่งส่งเสริมเกษตรกรปรับปรุงคุณภาพ โดยปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิตข้าวคุณภาพสูงหรือข้าวประณีต เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต ช่วยให้มีตลาดรองรับ โดยจะสนับสนุนเงินทุนให้แก่กลุ่มเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายที่จดทะเบียนรับรองกับหน่วยงานภาครัฐ อาทิ กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร วิสาหกิจชุมชน ศูนย์ข้าวชุมชน หรืออื่น ๆ ที่มีระบบการเพาะปลูกข้าวคุณภาพมาตรฐาน เช่น GAP อินทรีย์ ข้าวสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ข้าวที่มีอัตลักษณ์อื่น ๆ ที่มีความมุ่งมั่นจะแปรรูปเป็นข้าวสารจำหน่ายเอง โดยจะจัดหาเครื่องจักร รวมทั้งอุปกรณ์การผลิตและแปรรูปเป็นข้าวคุณภาพสูงและมีมาตรฐาน อาทิ เครื่องสีข้าว เครื่องบรรจุสินค้า หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการผลิต เป้าหมายจำนวน 200 กลุ่ม
ขณะเดียวกัน จะส่งเสริมการตลาด โดยจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และเชื่อมโยงช่องทางการจำหน่าย (Business Matching) ที่เหมาะสมกับข้าวคุณภาพสูงของกลุ่มเกษตรกรที่มีศักยภาพการผลิตสินค้าข้าวที่มีคุณภาพและมาตรฐานดังกล่าว รวมไปถึงการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาด ซึ่งในพื้นที่ภาคกลางยังขาดข้าวคุณภาพสูงที่มีความหลากหลาย เพื่อนำมาปลูกทดแทนข้าวพื้นแข็ง โดยมอบหมายให้กรมการข้าว ไปศึกษาเพิ่มเติมให้เกิดความเหมาะสมต่อไป


