กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ (DIT) นำทีมลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ติดตามสถานการณ์ข้าวเปลือกฤดูกาลใหม่ ชูโครงการชดเชยดอกเบี้ยโรงสีช่วยชะลอการจำหน่าย ป้องกันราคาตกต่ำ พร้อมสนับสนุนวิสาหกิจชุมชน ยกระดับคุณภาพข้าวหอมมะลิไทย
นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ปีการผลิต 2568/2569 ประเทศไทยมีข้าวเปลือกนาปีประมาณ 26.99 ล้านตัน ส่วนใหญ่เป็นข้าวหอมมะลิจากพื้นที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นแหล่งผลิตสำคัญของข้าวหอมดอกมะลิ 105 ที่จะเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป
โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมการค้าภายในได้เริ่มดำเนินโครงการ “ชดเชยดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการโรงสี” เพื่อช่วยชะลอการจำหน่ายข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก โดยได้จัดสรรวงเงินให้โรงสีที่เข้าร่วมโครงการรวม 217 ราย ใน 44 จังหวัด มีเป้าหมายดูดซับข้าวเปลือกจำนวน 4 ล้านตัน ภายในระยะเวลา 2–6 เดือน โดยภาครัฐจะสนับสนุนการชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา 3%
“โครงการชดเชยดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการโรงสี เป็นหนึ่งใน 3 โครงการที่ นบข. และคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยโครงการแรกคือโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และมาตรการที่สามคือโครงการชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกที่กรมการค้าภายในกำลังดำเนินการ”
“กรมการค้าภายในได้เริ่มดำเนินโครงการชดเชยดอกเบี้ย โดยพิจารณาคุณสมบัติของโรงสีที่เข้าสมัครมาทั้งหมดและให้เริ่มรับซื้อตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และจัดสรรวงเงินตามที่โรงสีกู้เงินจากธนาคาร โดยดำเนินการตรวจสต็อกตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน–31 มีนาคม พร้อมตรวจสต็อกในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของแต่ละเดือน โดยคณะกรรมการระดับจังหวัดประกอบด้วยพาณิชย์จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเข้าตรวจสอบว่า ข้าวที่เก็บอยู่ครอบคลุมวงเงินสินเชื่อที่โรงสีได้รับหรือไม่ โดยกำหนดให้เก็บอย่างน้อย 2 เดือน และไม่เกิน 6 เดือน ภาครัฐจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา 3%”
สำหรับ จ.อุบลราชธานีมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 11 ราย รวมวงเงินสินเชื่อกว่า 1,350 ล้านบาท คิดเป็นปริมาณข้าวกว่า 146,400 ตัน โดยหนึ่งในโรงสีหลักคือ โรงสีข้าวยิ่งไพบูลย์ (2007) จำกัด ซึ่งได้รับจัดสรรวงเงินสินเชื่อ 370 ล้านบาท เพื่อดูดซับข้าวกว่า 30,000 ตัน จากเกษตรกรในพื้นที่ ถือเป็นโรงสีที่มีความพร้อมทั้งด้านศักยภาพการผลิตและมาตรฐานคุณภาพ ได้รับการรับรอง GMP, ISO 9001:2015 และ Halal มีกำลังการสีข้าวกว่า 200 ตันต่อวัน
ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจเยี่ยมโรงสียิ่งไพบูล จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ พบว่า มีความพร้อมในการรับซื้อข้าวจากเกษตรกร มีการติดป้ายแสดงราคารับซื้ออย่างชัดเจน รวมถึงเครื่องวัดความชื้นและเครื่องชั่งน้ำหนักที่ผ่านการตรวจสอบจากทีมช่างตรวจวัดของกรมการค้าภายใน
ทั้งนี้ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ให้ความมั่นใจกับเกษตกรว่า กรมการค้าภายในได้กำกับดูแลการซื้อขายข้าวในทุกพื้นที่ เพื่อให้เกษตรกรขายข้าวได้ในราคาที่เป็นธรรม
“กรมการค้าภายใน ขอขอบคุณสมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมโรงสีข้าวตะวันออกเฉียงเหนือ สมาคมโรงสีประจำจังหวัด รวมถึงทุกโรงสีทั้งที่เข้าร่วมโครงการและไม่ได้เข้าร่วมโครงการ ที่ร่วมดูแลเกษตรกรชาวนาในช่วงที่ข้าวออกสู่ตลาด โดยกรมฯ กำกับดูแลเรื่องเครื่องชั่ง เครื่องวัดความชื้น และการซื้อขายข้าวอย่างเป็นธรรม เพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาที่เหมาะสม และมั่นใจว่า ข้าวหอมมะลิไทยยังสามารถแข่งขันในตลาดส่งออกได้ดีในระดับราคาที่น่าพึงพอใจ พร้อมสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรให้ผลิตข้าวมีคุณภาพต่อไป”
ด้าน นายอานุภาพ ภรณ์พิริยะนิยม อุปนายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า โครงการชดเชยดอกเบี้ยของกรมการค้าภายในถือเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อภาคการค้าข้าวอย่างมาก มีส่วนช่วยให้โรงสีสามารถชะลอการระบายข้าวออกสู่ตลาดได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ป้องกันไม่ให้ราคาข้าวเปลือกและข้าวสารปรับตัวลดลงต่อเนื่อง อีกทั้งยังช่วยบรรเทาภาระดอกเบี้ยเงินกู้ในระยะเวลา 6 เดือนตามที่กำหนด ทำให้ผู้ประกอบการมีกำลังทางการเงินในการบริหารจัดการสต็อกข้าวได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังลงพื้นที่เยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชนกลุ่มข้าวพันธุ์ดีบ้านผักกระย่า ต.ยางโยภาพ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี โดยนายวิมล ผลสุข ประธานศูนย์ข้าวชุมชนและประธานวิสาหกิจชุมชน นำชมการผลิตข้าวคุณภาพ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของสมาชิกในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำเมื่อผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตในชุมชน โดยปัจจุบันศูนย์ฯ แห่งนี้มีสมาชิกจำนวน 124 ราย ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกกว่า 2,000 ไร่ โดยต้องการให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุนการพัฒนา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแปรรูปและรักษามาตรฐานคุณภาพข้าวอย่างต่อเนื่อง
นางสาวญาณี กล่าวว่า แม้ไทยจะไม่ใช่ประเทศเดียวที่ผลิตและส่งออกข้าวไปสู่ตลาดโลก แต่ให้มั่นใจว่า ข้าวหอมมะลิคุณภาพสูงจากจังหวัดอุบลราชธานีและของไทย สามารถแข่งขันได้ เนื่องจากมีมาตรฐานและความเชื่อมั่นในคุณภาพ ซึ่งการผลิตข้าวคุณภาพของเกษตรกรจะส่งผลโดยตรงต่อราคาข้าวส่งออก แม้ว่า ราคาจะสูงกว่าประเทศอื่น แต่หากเป็นข้าวหอมมะลิไทยที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้ ผู้ซื้อย่อมพร้อมจ่ายเพิ่ม ทั้งนี้ กรมการค้าภายใน พร้อมเข้ามาสนับสนุน เพื่อสร้างช่องทางจำหน่ายข้าวคุณภาพและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตของชุมชนต่อไป
                    

