xs
xsm
sm
md
lg

ราช กรุ๊ป ปรับกลยุทธ์ใหม่รุกพลังงานอนาคต ขยาย RE ในออสเตรเลีย-อัดงบ 500 ล้านลงทุน CVC

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ราช กรุ๊ป” ประกาศกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจ 5 ปีนี้ (ปี 2568-2572) เน้นธุรกิจผลิตไฟฟ้า และธุรกิจเกี่ยวเนื่องพลังงาน พร้อมอัดงบลงทุน 500 ล้านบาทลุยลงทุน CVC ในธุรกิจสตาร์ทอัพด้านพลังงานรูปแบบใหม่ คาดเห็นการลงทุนในปีหน้า จับตา! สยายปีกลงทุนในยุโรปตะวันออกเน้นพลังงานอนาคต อาทิ ไบโอดีเซล โครงการ SAF พร้อมทั้งขยายการลงทุนพลังงนาทดแทนและ BESS ในออสเตรเลีย ในปี 69 ตั้งงบลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาท ดัน EBITDA เติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 5%

นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยว่า บริษัทฯปรับแผนกลยุทธ์ใหม่ 5 ปีนี้ (2568-2572) เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจตอบสนองทิศทางพลังงานในอนาคต เพิ่มโอกาสทางธุรกิจและมูลค่าได้อย่างต่อเนื่องสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยยังคงมุ่งเน้นธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานเป็นหลัก แต่ขยายการลงทุนครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจให้มากขึ้น รวมถึงการจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้สร้างมูลค่าสูงสุดทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าให้ใช้พลังงานและปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยที่สุด การปรับเปลี่ยนโรงไฟฟ้าที่ปลดระวางเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ เช่น ลงทุนโครงการ Synchronous Condenser ในโรงไฟฟ้า Townsville ในรัฐควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากไฟดับ ทำให้โรงไฟฟ้าที่กำลังปลดระวางสามารถสร้างรายได้ต่อไปอีก 10 ปี และนวัตกรรมพลังงานที่สนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของโลก โดยเฉพาะเชื้อเพลิงอนาคต เช่น ไบโอดีเซล โครงการ SAF กรีนไฮโดรเจน กรีนแอมโมเนียในต่างประเทศ


ทั้งนี้ กลยุทธ์หลัก (5S) ที่กำหนดไว้ครอบคลุมหลักการ ดังนี้ (S1) การบริหารพอร์ตสินทรัพย์ โดยจะเน้นการปรับปรุงศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำกำไร (S2) การลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าตามแผนกำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ของแต่ละประเทศ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ (S3) การลงทุนธุรกิจเกี่ยวเนื่องด้านพลังงาน (S4) การพัฒนาโรงไฟฟ้าที่หมดอายุให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ (S5) ลงทุนรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC) ในธุรกิจสตาร์ทอัพด้านพลังงานรูปแบบใหม่ และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เน้นสตาร์ทอัพ Series B ขึ้นไป โดยตั้งงบลงทุน CVC ไว้ 500 ล้านบาท จะเห็นการลงทุนในปีหน้า

สำหรับงบลงทุนของบริษัทในปี 2569 อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท เน้นลงทุนโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา โครงการ Green Field และการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งขณะนี้มีโครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจามากกว่า 5 โครงการ พร้อมตั้งเป้าหมาย EBITDA เติบโตปีละ 5%

การลงทุนในประเทศไทย บริษัทฯ มีความพร้อมทั้งที่ดินราว 2 พันไร่ที่ราชบุรีและพันธมิตร โดยมองการลงทุนทั้ง Data Center และอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่มากกว่าการทำนิคมฯ ขณะเดียวกันก็พร้อมลงทุนตามนโยบายของนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รมว.พลังงาน ในโครงการการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยผู้ผลิตไฟฟ้าขายตรงกับผู้ซื้อ (Direct PPA) 2,000 เมกะวัตต์ด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจในประเทศที่เป็นฐานการลงทุนปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย สปป.ลาว เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เป็นต้น โดยตั้งเป้าจะแสวงหาโอกาสการลงทุนในพื้นที่ใหม่ๆ ที่มีการพัฒนาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานนอกเหนือจากออสเตรเลีย อาทิ ประเทศในภูมิภาคยุโรปตะวันออก อาทิ โครงการ SAF ไบโอดีเซล ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา ส่วนญี่ปุ่น ประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าจะลดลง


ปัจจุบันในออสเตรเลีย บริษัทฯ มีบริษัทย่อย คือ บริษัท ราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (RAC) เป็นแกนหลักในการขยายธุรกิจและสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ โดยครึ่งแรกของปีนี้มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 19% ของรายได้รวมบริษัทฯ คิดเป็นจำนวนเงิน 2,948 ล้านบาท และคาดว่ารายได้จะเพิ่มมากขึ้นหากโครงการที่อยู่ในมือสามารถพัฒนาและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จตามเป้าหมาย

“ออสเตรเลียเป็นตลาดไฟฟ้าหมุนเวียนที่มีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก รวมถึงธุรกิจเกี่ยวเนื่องเติบโตตามเป้าหมาย Net Zero Emissions ของประเทศในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งเพิ่มโอกาสการลงทุนพัฒนาโครงการพลังงานทดแทน ระบบกักเก็บพลังงาน และการให้บริการเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าโดยใช้ประโยชน์จากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ล่าสุด RAC ได้พัฒนาโครงการ Synchronous Condenser ในโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซทาวน์สวิลล์ ขนาด 234 เมกะวัตต์ เพื่อรักษาเสถียรภาพระบบส่งไฟฟ้าของรัฐควีนส์แลนด์ และคาดว่าความต้องการโครงการลักษณะนี้จะมากขึ้นตามการใช้พลังงานทดแทนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต” นายนิทัศน์กล่าว

ปัจจุบัน RAC กำลังการผลิตรวม 2,095 เมกะวัตต์ มีโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 3 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 9 แห่ง ซึ่งรวมถึงโครงการระบบกักเก็บพลังงาน โดยอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อพัฒนาและก่อสร้างโครงการพลังงานทดแทนและระบบกักเก็บไฟฟ้า รวม 9 โครงการ ในจำนวนนี้มี 4 โครงการที่มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์มารูลัน กำลังการผลิต 150 เมกะวัตต์ ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) ขนาด 81 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 162 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2570 โครงการระบบกักเก็บพลังงานเบรีล ขนาด 100 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 200 เมกะวัตต์-ชั่วโมง และโครงการระบบกักเก็บพลังงานอีแอล เอริช ขนาด 250 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 500 เมกะวัตต์-ชั่วโมง คาดว่าจะเดินเครื่องเชิง(พาณิชย์) COD ได้ในปี 2572 และโครงการพลังงานลมสปริงแลนด์ กำลังการผลิต 500-800 เมกะวัตต์อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโครงการ คาดว่า COD ในปี 2573



กำลังโหลดความคิดเห็น