“สุริยะ” เร่งงานด่วน ฟรีวีซ่า ไฮซีซัน คาดนักท่องเที่ยวเพิ่มกว่า 5 ล้านคน ส่อดับฝัน "แลนด์บริดจ์" ชี้ลงทุนสูง ส่วน "ไฮสปีด" 2 สายเดินหน้าต่อ PPP เดินรถสีแดงส่อยื้อ กรมรางชี้ไม่คุ้ม "สีแดง-สีม่วง" เก็บ 20 บาทสูญรายได้ 136 ล้านบาท หวังผู้โดยสารเพิ่มคืนทุนใน 2 ปี
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทจะดำเนินการได้ภายใน 3 เดือนนี้ นำร่องกับรถไฟฟ้าสายสีแดง และสายสีม่วง และดำเนินนโยบายเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี โดยสายสีม่วงนั้น ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) รายงานว่าจะเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.พิจารณาภายในเดือน ก.ย.นี้จึงจะสามารถดำเนินการได้ โดยอยู่ในอำนาจบอร์ด ส่วนรถไฟสายสีแดง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะเสนอบอร์ดพิจารณาในเดือนก.ย.นี้ แต่กรอบในการพิจารณาของรฟท.มีประเด็นเรื่องหนี้สาธารณะ ดังนั้น ตามขั้นตอนหลังบอร์ด รฟท.เห็นชอบจะต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา โดยการลดค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายจะทำให้มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นและจะกลับมาคุ้มทุนภายใน 2 ปี โดยไม่ต้องชดเชย ซึ่งจะสรุปเสนอ ครม.ได้ภายใน 2-3 สัปดาห์นี้
@ ประเมิน "สีแดง-สีม่วง" รายได้หาย 136 ล้านบาท/ปี
ทั้งนี้ กรมรางชี้แจงว่ากรณีสายสีแดงและสายสีม่วงลดค่าโดยสารเหลือ 20 บาทตลอดสาย คาดว่ารายได้จะลดลงประมาณ 136 ล้านบาท/ปี แบ่งเป็นสายสีแดงลดลง ประมาณ 80 ล้านบาท/ปี สายสีม่วง ลดลงประมาณ 56 ล้านบาท/ปี ในขณะที่ประเมินว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% ดังนั้นจึงคาดว่ารายได้ที่ลดลงจะกลับมาเท่าเดิมได้ภายใน 2 ปี และหลังจากนั้นรายได้ของ รฟท.และ รฟม.จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปอีก ส่วนค่าใช้จ่ายจะเท่าเดิม และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนในการลดค่าครองชีพ และลดมลพิษทางอากาศหรือ PM 2.5 ลดการใช้พลังงาน เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจและประชาชนอย่างมาก
“ปัจจุบันสายสีแดงมีผู้โดยสารเฉลี่ย 2-3 หมื่นคน/วัน สายสีม่วง เฉลี่ย 5-6 หมื่นคน/วัน คาดว่าจะเพิ่ม 10% โดย 2 สายรวมกันจะมีผู้โดยสารรวมเป็นกว่า 1 แสนคน/วัน”
@PPP เดินรถสีแดงไม่คุ้ม ต้องรออีก 7-8 ปี
ผู้สื่อข่าวถามว่า ค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายจะมีผลกระทบต่อการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) หรือไม่ อธิบดีกรมรางชี้แจงว่า จากที่ รฟท.ได้ศึกษาการร่วมลงทุนฯ เดินรถไฟสายสีแดง พบว่าจำนวนผู้โดยสารสายสีแดงน้อยมาก การให้เอกชนเดินรถจึงไม่คุ้มทุนในตอนนี้ และคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีก 7-8 ปีกว่าปริมาณผู้โดยสารจะมากพอ แต่การลดราคา 20 บาท เป็นวิธีคิดที่จะทำให้ผู้โดยสารสายสีแดงเพิ่มขึ้น และจะค่อยๆเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับที่ทำให้โครงการคุ้มทุน และเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนเดินรถต่อไป
@"สุริยะ" นั่งประธานเจรจาลดราคา "สีน้ำเงิน-เขียว"
นายสุริยะกล่าวว่า ส่วนรถไฟฟ้าที่มีสัญญาสัมปทาน เช่น สายสีน้ำเงินและสายสีเขียวนั้น ต้องมีการเจรจากับเอกชน ซึ่งจะตั้งคณะทำงานฯ 1 ชุด โดยตนจะเป็นประธานเอง เพื่อให้สำเร็จตามนโยบายรัฐบาล และที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงไว้ โดยเมื่อลดค่าโดยสารเหลือ 20 บาทตลอดสายแล้ว จะทำให้มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น จึงต้องเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับเอกชนกรณีที่ผู้โดยสารเพิ่ม แต่กรณีที่มีรายได้ที่ขาดหายไป รัฐจะต้องจัดงบประมาณเข้าไปดูแล ประเมินว่าอาจจะต้องใช้เวลาเจรจาภายใน 2 ปี
นอกจากนี้ ทราบว่าทางบีทีเอสยังไม่มีระบบรองรับตั๋วร่วม ซึ่งจะต้องมีการลงทุนเพิ่มซึ่งเดิมรัฐจะลงทุนเอง แต่จะเป็นการเอื้อประโยชน์ทางบีทีเอส ดังนั้นจะเป็นการเจรจากับบีทีเอสให้ลงทุนติดตั้งระบบเอง ทำให้ยังไม่คืบหน้า
@สั่งทำแผนลงทุนบิ๊กโปรเจกต์ เดินหน้าสร้าง "ไฮสปีด" 2 สาย
นายสุริยะกล่าวต่อว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานจัดทำแผนงานและโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และเสนอกระทรวงคมนาคมในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อพิจารณาและจัดลำดับความสำคัญต่อไป ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูง 2 สาย คือ โครงการรถไฟไทย-จีน เฟสแรก ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ที่กำลังก่อสร้าง และเฟส 2 นครราชสีมา-หนองคาย รวมถึงส่วนเชื่อมต่อ สปป.ลาว จะเดินหน้า เนื่องจากเป็นเส้นทางที่มีความสำคัญและเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศในการเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารไปยังประเทศจีนได้ รวมถึงรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. วงเงิน 224,544 ล้านบาท มี บจ.เอเชีย เอรา วัน (ในเครือ ซี.พี.) เป็นผู้ร่วมลงทุน มีการเจรจาปรับเงื่อนไขทางการเงิน จากผลกระทบโควิด-19 จะดูกฎหมายก่อน ทั้งนี้ อยากให้โครงการไปต่อ แต่ต้องดูภาระผูกพันตามสัญญาด้วย
@ "แลนด์บริดจ์" ลงทุนสูง ต้องใช้เวลา
นายสุริยะกล่าวถึงโครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (ชุมพร-ระนอง) หรือแลนด์บริดจ์ ว่า เป็นโครงการใหญ่ที่มีมูลค่าลงทุนสูงมาก อีกทั้งยังมีประเด็นผลกระทบสิ่งแวดล้อม การคุ้มค่าในการลงทุน การหาผู้ประกอบการร่วมลงทุน จึงเห็นว่าค่อนข้างยากและต้องใช้เวลา
@ฟรีวีซ่าไฮซีซันคาดดันนักท่องเที่ยวเพิ่มกว่า 5 ล้านคน
ส่วนการดำเนินการตามนโยบายฟรีวีซ่า โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2566-29 ก.พ. 2567 นั้น นายสุริยะกล่าวว่า ในวันที่ 25 ก.ย. 2566 จะไปสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อตรวจความเรียบร้อย จากนั้นในวันที่ 29 ก.ย. 2566 จะตรวจผลการเปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) สนามบินสุวรรณภูมิและเดินทางไปจังหวัดภูเก็ตเพื่อตรวจความพร้อม
นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.กล่าวว่า แผนการพัฒนาการขนส่งทางอากาศตามนโยบาย รมว.คมนาคม แผนเร่งด่วน จะเป็นเรื่องการเพิ่ม Slot การบิน และการบริหารจัดการพื้นที่ภายในท่าอากาศยาน เพื่อรองรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบิน โดยเน้นด้านฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่เป็นตัวจักรสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจ ซึ่งการจัด Slot การบินสำหรับฤดูหนาวนี้เพื่อให้สามารถเพิ่มเที่ยวบินได้มากขึ้นอย่างน้อย 15% ต่อสัปดาห์เมื่อเทียบกับ Slot ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นกว่า 5 ล้านคน จากนโยบาย วีซ่าฟรี สำหรับนักท่องเที่ยวจีนตลอดฤดูท่องเที่ยวที่จะถึงนี้
นอกจากนี้ มีนโยบายให้ ทอท.ดำเนินการเพิ่มศักยภาพของรันเวย์ และการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารส่วนต่อขยายด้านตะวันออก สนามบินสุวรรณภูมิ การสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ สนามบินภูเก็ต เชียงใหม่และดอนเมือง จะเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารของประเทศในระยะยาวได้ถึง 200 ล้านคน/ปี และการสร้างสนามบินแห่งใหม่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพและสนามบินมีข้อจำกัดด้านรันเวย์ เช่น สนามบินเชียงใหม่แห่งที่ 2 และสนามบินอันดามัน
