บอร์ด รฟท.เคาะจ้าง “กลุ่มนภาฯ” สร้างโรงซ่อมแก่งคอย 1.5 พันล้านบาท รองรับซ่อมหนักหัวจักร 20 คัน ยังเบรกเคาะ “ยูนิค” รับงานสัญญา 4-2 รถไฟไทย-จีน สั่งดูข้อกฎหมายเพิ่มเพื่อความรอบคอบ
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. ที่มี นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เป็นประธาน ครั้งที่ 6/2564 วันที่ 13 พ.ค. 2564 มีมติอนุมัติจ้างบริษัท เอ็นพีเอสอี ร่วมค้า จำกัด ประกอบด้วย บริษัท นภาการก่อสร้าง และ บริษัท สิงห์ศิลา เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ดำเนินงานก่อสร้างโรงซ่อมรถจักรที่แก่งคอย แขวงบำรุงทางแก่งคอย กองบำรุงทางเขตสุรินทร์ ศูนย์บำรุงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ฝ่ายการช่างโยธา วงเงินค่าจ้างรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แล้วเป็นเงิน 1,560 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 730 วัน นับจากวันส่งมอบพื้นที่ ทั้งนี้ได้มีการหารือกรมบัญชีกลางเกี่ยวกับคุณสมบัติของบริษัทผู้ได้ชนะประมูลแล้ว ขั้นตอนหลังจากนี้จะมีการประกาศผลการประมูล หากไม่มีการอุทธรณ์ใดๆ จะมีการลงนามสัญญาต่อไป
สำหรับโครงการก่อสร้างโรงซ่อมรถจักรแก่งคอยนั้นจะเป็นการปรับปรุงโรงซ่อมบำรุงรถจักรเดิม พร้อมเพิ่มเครื่องจักร อุปกรณ์ สำหรับการซ่อมบำรุงหนัก เพื่อขยายขีดความสามารถรองรับการซ่อมรถจักร 20 คันที่ครบวาระการซ่อมเนื่องจากใช้งานมาหลายปีแล้ว ที่รวมถึงลดภารกิจช่วยแบ่งเบาโรงซ่อมรถจักรบางซื่อ ซึ่งปรับพื้นที่รองรับรถไฟสายสีแดง
ยังไม่เคาะ “ยูนิค” รับงานสัญญา 4-2 รถไฟไทย-จีน
สำหรับโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพฯ-หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา) งานโยธาสัญญา 4-2 ช่วงดอนเมือง-นวนคร ระยะทาง 21.8 กม. ซึ่งมีการเสนอขออนุมัติสั่งจ้าง บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ซึ่งเป็นผู้ยื่นข้อเสนออันดับ 2 เนื่องจากกลุ่มกิจการร่วมค้า SPTK ประกอบด้วย บจ.ซิโนไฮโดร, บจ.สหการวิศวกร และ บจ.ทิพากร ผู้ยื่นข้อเสนอที่คัดเลือกไว้ไม่ยอมเข้าทำสัญญาจ้างก่อสร้างนั้น ที่ประชุมบอร์ด รฟท.ให้ไปทำรายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องข้อกฎหมายต่างๆ ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เช่น สาเหตุที่ผู้เสนอรายแรกไม่สามารถยืนราคาได้ และการเสนอรายที่ 2 เข้าทำสัญญา
ทั้งนี้ งานโยธาสัญญา 4-2 ช่วงดอนเมือง-นวนคร ราคากลางอยู่ที่ 10,917 ล้านบาท กลุ่มกิจการร่วมค้า SPTK ประกอบด้วย บจ.ซิโนไฮโดร, บจ.สหการวิศวกร และ บจ.ทิพากร เสนอราคา 8,626.8 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 26.5% แต่ไม่ยืนราคาตามกำหนด ส่วนผู้เสนอราคาต่ำในลำดับถัดไป คือ บมจ.ยูนิค ที่ 10,500 ล้านบาท