บี.กริม เพาเวอร์ปรับเป้ากำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 5 พันเมกะวัตต์ในปี 65 เป็น 7.2 พันเมกะวัตต์ในปี 68 ใช้เงินลงทุน 1.8 แสนล้านบาท ย้ำไม่เพิ่มทุนจดทะเบียนแน่ แย้มต้นทุนค่าก๊าซฯ ลดฮวบในครึ่งปีหลัง และความต้องการใช้ไฟลูกค้ากลุ่มยานยนต์ขยับเพิ่มขึ้น หนุนผลดำเนินงานครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 5 พันเมกะวัตต์ในปี 2565 เป็น 7.2 พันเมกะวัตต์ในปี 2568 คาดจะใช้เงินลงทุนราว 1.8 แสนล้านบาท ยืนยันว่าบริษัทไม่มีแผนเพิ่มทุนจดทะเบียน เนื่องจากบริษัทมีการวางแผนการเงินระยะยาว โดยสิ้นไตรมาส 2/63 บริษัทมีเงินสดในมือ 1.9 หมื่นล้านบาท และเงินหมุนเวียนอีก 9 พันล้านบาท ขณะที่อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำอยู่ที่ 1.1 เท่า
ทั้งนี้ บริษัทแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีการเจรจาร่วมทุนพันธมิตรเอกชนท้องถิ่นทำโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) หรือ Gas to Power กำลังผลิต 2-3 พันเมกะวัตต์ที่เวียดนาม คาดว่าจะลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ได้ต้นปีหน้า รวมทั้งเจรจาซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าก๊าซฯ ที่มาเลเซีย กำลังผลิต 250 เมกะวัตต์ และส่วนขยายอีก 150 เมกะวัตต์คาดว่าปิดดีลในปลายปีนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังลม 130-150 เมกะวัตต์ที่เกาหลีใค้คาดว่าปิดดีลไตรมาส 4 นี้ ส่วนไทยก็มีศักยภาพที่จะ M&A โรงไฟฟ้าก๊าซฯ 300-400 เมกะวัตต์ด้วย รวมทั้งสนใจลงทุนโรงไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปและไบโอแมส
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้า Gas to Power ที่บริษัทได้ลงนามบันทึกช่วยจำกับปิโตรเวียดนาม ขนาด 3 พันเมกะวัตต์ที่เวียดนามนั้น ไม่อยู่ในเป้าหมาย 7.2 พันเมกะวัตต์ เนื่องจากโครงการล่าช้า แต่ไม่ได้ตัดทิ้งโครงการดังกล่าว
สำหรับภาพรวมธุรกิจครึ่งหลังปี 2563 พบว่ามีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้การใช้ไฟขยับเพิ่มขึ้น อาทิ กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน รวมทั้งกลุ่มแพกเกจจิ้งก็มีการใช้ไฟเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่แล้ว กอปรกับราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลงอย่างมาก เห็นได้จากทาง ปตท.ได้ทำประมาณการราคาก๊าซธรรมชาติลดลงอย่างต่อเนื่องจากเดือนมิถุนายนที่อยู่ในระดับ 256.8 บาทต่อล้านบีทียู ล่าสุดเดือนกันยายนจะอยู่ที่ 230.12 บาทต่อล้านบีทียู และเดือนตุลาคมจะลดลงมาที่ระดับ 213.92 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งต้นทุนราคาก๊าซฯ ที่ลดลงทุก 1 บาทจะทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่ม 15-16 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้จัดหาและนำเข้าก๊าซธรรมชาติ (Shipper) เพื่อนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) 6.5 แสนตัน/ปี ไปใช้ในโรงไฟฟ้า SPP Replacement ของบริษัท ที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2565 ทำให้ต้นทุนค่าก๊าซฯ ลดลงด้วย
นอกจากนี้ บริษัทก็ยังมองโอกาสที่จะไปสร้างโรงไฟฟ้าให้ภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการที่จะมีโรงไฟฟ้าใช้เอง ขณะนี้มีลูกค้าติดต่อเข้ามา และพร้อมรุกสู่สมาร์ทซิตี้ สมาร์ทบิลดิ้ง รวมทั้งโซลาร์รูฟท็อป เพื่อสอดคล้องกับโลกพลังงานในปัจจุบัน