BGRIM เพิ่มเป้ากำลังผลิตเป็น 7,200 MW ในปี 68 จากเดิมคาดจะมีกำลังผลิต 5,000 MW หลังซุ่มลุยโครงการใหม่เพียบ คาดใช้เงินลงทุนพัฒนาโครงการอีก 1.8 แสนล้านบาท ย้ำไม่ต้องกังวล ไม่มีแผนเพิ่มทุน ด้านโบรกฯ มองภาพบวกต่อแนวโน้มกำไรช่วงที่เหลือของปี และคาดว่ามีโอกาสที่กำไรทำระดับสูงสุดใหม่ในไตรมาส 3 แนะนำซื้อ
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเพิ่มเป้าหมายในปี 68 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 7,200 MW จากเดิมที่คาดจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 5,000MW เนื่องจากขณะนี้มีโครงการที่บริษัทมีโอกาสจะได้พัฒนาเพิ่มมากขึ้นจากเดิม
โดยบริษัทมีโครงการที่มีโอกาสในการลงทุน เช่น การลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศเกาหลี กำลังการผลิต 130-150MW คาดจะเห็นความชัดเจนการลงทุนภายในไตรมาส 4/63 ประกอบกับมีโอกาสที่จะเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซ LNG ที่ประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิต 2,700 MW รวมถึงการเข้าประมูลโรงไฟฟ้า SPP ที่มาเลเซีย กำลังการผลิต 250MW
ใช้งบฯ ลงทุน 1.8 แสนล้านบาท เพิ่มเป้ากำลังผลิตไฟฟ้า ยันไม่เพิ่มทุน
ทั้งนี้ แผนดังกล่าวคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 180,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเงินลงทุนดังกล่าวจะแบ่งเป็นการกู้เงินในรูปแบบโปรเจกต์ไฟแนนซ์ โดยบริษัทย้ำว่าไม่มีแผนที่จะเพิ่มทุนแต่อย่างใด โดยขณะนี้มีกระแสเงินสดในมือ 19,000 ล้านบาท และเงินหมุนเวียน 9,000 ล้านบาท รวมถึงกระแสเงินที่จะได้จากการดำเนินงาน
"ย้ำว่าไม่ต้องกังวลไม่มีทางเพิ่มทุนแน่ บริษัทมีการวางแผนระยะยาวมีแผนการเงินล่วงหน้ากระแสเงินสดแข็งแกร่ง ใช้โปรเจกต์ไฟแนนซ์ ใช้เงินทุนแค่ 25% ของ 180,000 ล้านบาท หรือเราก็อาจจะออกหุ้นกู้ หรือหาพันมิตร มีวิธีการเยอะ เราได้วางแผนไว้แล้ว" นางปรียนาถ กล่าว
นอกจากนี้ ปัจจุบันราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนของบริษัทปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ 228 บาทต่อล้าน BTU ขณะเดียวกัน ทาง ปตท.คาดการณ์ว่า ในปี 64 ราคาก๊าซธรรมชาติจะปรับลดลงเหลือระดับ 223 บาทต่อล้าน BTU ซึ่งการที่ระดับราคาก๊าซลดลงจะมีผลต่อกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทให้เพิ่มขึ้นประมาณ 15 ล้านบาท
หยวนต้า แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 60 บาท มองธุรกิจยังสดใส มี Upside
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.หยวนต้า ระบุว่า ยังคงภาพบวกต่อแนวโน้มกำไรช่วงที่เหลือของปี และคาดว่ามีโอกาสที่กำไรอาจทำระดับสูงสุดใหม่ได้ใน 3Q63 จากการทยอยกลับมาเดินเครื่องการผลิตเกือบเป็นปกติของลูกค้า IU ในกลุ่มยานยนต์ พร้อมกับต้นทุนเชื้อเพลงที่ถูกลงราว 30 บาท/ล้าน BTU เป็นราว 230-240 บาท/ล้าน BTU ซึ่งทุก 1 บาทที่ลดลงจะมีส่วนเพิ่มกำไรราว 13-15 ลบ./ปี สมมติฐานของเราอยู่ที่ 260 บาท/ล้าน BTU ในปี 2563-2564 และลดลงเป็น 239.20 บาท/ล้าน BTU ในปี 2565 เป็นต้นไป ขณะที่การลดค่า FT ลงกระทบกำไรลดลงราว 1 ลบ. ต่อเดือน
ด้านความกังวลต่อการเปลี่ยนแปลง รมว. พลังงาน ที่อาจส่งผลต่อโครงการ SPP Replacement นั้น ผู้บริหารยังยืนยันว่าทุกอย่างยังเป็นไปตามแผน และกำลังจะเริ่มก่อสร้างเพื่อให้เสร็จทันการ COD ในปี 2565 เป็นโรงไฟฟ้าที่มี Demand รองรับ และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าในนิคม รวมถึงการนำเข้าก๊าซ LNG ที่ได้รับใบอนุญาตแล้วนั้นบริษัทสามารถเริ่มการนำเข้าได้ทันทีในปีนี้ โดยก่อนที่จะมีการ COD ของโรงใหม่ทั้ง SPP Extension และ SPP Replacement บริษัทจะนำเข้ามา จำนวน 280,000 ตัน จากความสามารถสูงสุดตามใบอนุญาตที่ 650,000 ตันต่อปี เพื่อนำมาใช้กับโรงไฟฟ้าเก่าก่อนบางส่วนเพื่อเป็นการลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิง ปัจจุบันราคาตลาดโลกอยู่ที่ราว US$2.4/ล้าน BTU เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายต่างๆ จนถึงพร้อมใช้งานหน้าโรงไฟฟ้าอยู่ที่ราว US$5/ล้าน BTU เทียบกับต้นทุนที่ซื้อจาก ปตท. ปัจจุบันอยู่ที่ราว US$7-8/ล้าน BTU
นอกจากนี้ มีการเลื่อนกำหนดการ COD ของ BGPR1 และ 2 ขนาดกำลังการผลิตรวม 240MW จากปี 2564 ไปเป็นปี 2566 เนื่องจากมีการหารือร่วมกับ EGAT เพื่อความเหมาะสมด้านความพร้อมของสายส่ง รวมถึงการบริหารต้นทุนที่ดีกว่าด้วยเทคโนโลยีใหม่ลดอัตราการใช้ก๊าซลง โดยมีการพิจารณาย้ายสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้าจาก จ.ราชบุรี ไปเป็น จ.อ่างทอง ซึ่ง BGRIM มีโรงไฟฟ้าเดิมอยู่ใกล้เคียงคือ อ่างทองพาวเวอร์ และได้ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 240MW เป็น 280MW
อย่างไรก็ตาม การเลื่อน COD อาจกระทบประมาณการปี 2564-2565 แต่ค่อนข้างจำกัดเนื่องจากในปี 2564 ประมาณการเดิมเราให้ BGPR1 มีรายได้ 9 เดือน และ BGPR2 สร้างรายได้เพียง 3 เดือน จึงกระทบประมาณการกำไรปี 2564 จำกัด ขณะที่ปี 2565 ที่จะกระทบมากที่สุดนั้น เราเชื่อว่าในช่วงปี 2563-2564 บริษัทจะมีการ M&A โรงใหม่ๆ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทำให้มีกำไรมาชดเชย BGPR1-2 ที่เลื่อนไป COD ปี 2566 ได้ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาโครงการใหม่ทั้งในรูปแบบ M&A และโครงการใหม่เลย ทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมไม่น้อยกว่า 500MW คาดว่าจะทยอยชัดเจนในช่วง 4Q63-1Q64
ขณะที่มี Upside จากต้นทุนก๊าซ LNG ที่จะต่ำลงกว่าปัจจุบันมาก หากมีการทยอย COD โรงใหม่ และใช้ LNG ที่นำเข้าเอง 100%
ทั้งนี้ มีโครงการโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในเวียดนามแห่งใหม่ขนาดราว 2,500-3,000MW ร่วมกับพันธมิตร นอกเหนือจากโครงการ LNG to power ขนาด 3,000MW ที่บริษัทเคยให้ข้อมูลไว้ แต่บริษัทคาดว่าอาจยังต้องใช้เวลา ซึ่งทำให้กระแสเงินสดที่บริษัทมีและความสามารถในการกู้ยืมยังสอดคล้องกัน และไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน หรือหากโครงการขนาดใหญ่มาเร็วกว่าแผน บริษัทก็จะใช้วิธีการหาพันธมิตรร่วมลงทุนซึ่งจะไม่ต้องเพิ่มทุน
ดังนั้น ยังคงมุมมองบวก ราคาที่อาจอ่อนตัวลงจากการเลื่อน COD โรงไฟฟ้า BGPR1-2 ส่วนหนึ่งนั้นมองว่าไม่ใช่ประเด็นที่มีนัยต่อประมาณการ ประเด็นหลักการปรับตัวลงน่าจะเป็นในทิศทางเดียวกับกลุ่มคือการปรับตัวขึ้นของ Bond yield และค่าเงินบาทอ่อนค่า จึงเป็นโอกาสในการสะสม คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 60.00 บาท นอกจากนี้ BGRIM ถูก Upgrade จาก FTSE Small cap เป็น Large cap มีผลวันที่ 18 ก.ย.