ปตท.สผ.เผยผลประกอบการ 6 เดือนแรกปี 2563 มีกำไรสุทธิ 409 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 51% จากความต้องการใช้และราคาปิโตรเลียมที่ลดลงจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ผันผวน และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พร้อมหั่นลดเป้าปริมาณการขายในปีนี้ลง 9% เหลือ 355,000 บาร์เรล/วัน บอร์ดฯ อนุมัติปันผลระหว่างกาล 1.50 บาท/หุ้น
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกของปี 2563 ปตท.สผ.มีรายได้รวม 2,779 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 87,549 ล้านบาท ลดลงประมาณร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับรายได้รวม 3,001 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 94,830 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันปี 2562 โดยมีปริมาณขายเฉลี่ยอยู่ที่ 345,207 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จาก 326,971 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลจากการเข้าซื้อกิจการของบริษัท เมอร์ฟี่ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น ในประเทศมาเลเซีย และบริษัท พาร์เท็กซ์ โฮลดิ้ง บี.วี.
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้ปิโตรเลียมทั่วโลกลดลงอย่างมาก ประกอบกับสงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุดีอาระเบียกับรัสเซียเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาส่งผลให้ราคานํ้ามันดิบปรับตัวลดลงกว่าร้อยละ 50 จากต้นปีที่ผ่านมา มีผลให้ราคาขายผลิตภัณฑ์ของ ปตท.สผ.เฉลี่ยลดลงประมาณร้อยละ 15 มาอยู่ที่ 40.15 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เมื่อเทียบกับ 47.26 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในช่วงเดียวกันของปี 2562 ราคาขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ปรับตัวลดลงในสัดส่วนที่น้อยกว่าราคาน้ำมันดิบโลก ด้วยโครงสร้างราคาขายก๊าซธรรมชาติของ ปตท.สผ.ผูกกับราคาน้ำมันเพียงส่วนหนึ่ง และมีการปรับราคาย้อนหลังประมาณ 6-24 เดือน ส่วนของน้ำมันดิบซึ่งมีปริมาณการขายประมาณร้อยละ 30 ของปริมาณการขายทั้งหมดซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง บริษัทได้ทำสัญญาประกันความเสี่ยงไว้แล้วบางส่วน
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ (Impairment) จำนวน 47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการมาเรียนา ออยล์ แซนด์ ประเทศแคนาดา เนื่องจากคาดการณ์ราคาน้ำมันในระยะยาวที่จะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยากต่อพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์
จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ ปตท.สผ.มีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรก จำนวน 409 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 12,935 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 51 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 827 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 26,163 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ยังคงสามารถรักษาระดับต้นทุนต่อหน่วยที่ 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา ในระดับร้อยละ 70 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ส่วนผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2563 นั้น ปตท.สผ.มีรายได้รวม 1,095 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 34,954 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 134 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 4,323 ล้านบาท จากปริมาณการขายและราคาผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่ลดลงซึ่งเป็นผลมาจากการใช้พลังงานที่ลดลงจากสถานการณ์โควิด-19 และราคาน้ำมันในตลาดโลกตกต่ำในช่วงที่ผ่านมา
นายพงศธรกล่าวว่า บริษัทฯ ได้ปรับลดคาดการณ์ปริมาณการขายในปีนี้ เป็น 355,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ลดลงร้อยละ 9 จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ สืบเนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังมีความผันผวน ประกอบกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้พลังงานในประเทศ อย่างไรก็ตามบริษัทได้ปรับลดงบประมาณในปีนี้ลงร้อยละ 15-20 จากเดิมที่ตั้งไว้ 4,613 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 143,012 ล้านบาท โดยได้พิจารณาตัดค่าใช้จ่ายบางส่วนและเลื่อนแผนการเจาะสำรวจในบางโครงการออกไป โดยยังสามารถรักษาระดับการผลิตตามสัญญาเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ รวมทั้งได้ปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์การดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่อรองรับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจที่มีความท้าทาย พร้อมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
“ปตท.สผ.ได้ประเมินผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจในอนาคต เราจึงได้กำหนดทิศทางการดำเนินการและเป้าหมายระยะยาวใน 10 ปีข้างหน้า (ปี 2573) เพื่อให้บริษัทฯ สามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งยอมรับว่าเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างท้าทายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวการณ์ปัจจุบันที่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา โดยหลักๆ แล้ว เรายังคงมุ่งเน้นเรื่องการปรับลดโครงสร้างต้นทุนอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าที่จะลดต้นทุนต่อหน่วยให้อยู่ในระดับชั้นนำของกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อให้บริษัทมีความคล่องตัวและรองรับการเปลี่ยนแปลงในช่วงราคาน้ำมันผันผวน โดยจะยังคงมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานสำหรับการลงทุนต่อยอดธุรกิจในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และการเข้าซื้อกิจการซึ่งยังคงเน้นการลงทุนในประเทศไทย เมียนมา มาเลเชีย และภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยตั้งเป้าอัตราการเติบโตของการผลิตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ร้อยละ 5 และมีอัตราส่วนปริมาณสำรองต่อการผลิต (R/P ratio) ที่ 7 ปี”
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญต่อการขับเคลื่อนธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) แบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงโรงงานผลิต (Upstream & Liquefaction) และการลงทุนในธุรกิจใหม่ โดย ปตท.สผ.ให้ความสนใจกับการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า และธุรกิจหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ เพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงด้านธุรกิจพลังงานและการเติบโตในอนาคต ซึ่งตั้งเป้าว่าธุรกิจใหม่ดังกล่าวจะสามารถสร้างผลกำไรได้ร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิของ ปตท.สผ.ในอีก 10 ปีข้างหน้า
นายพงศธรกล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 อนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก ปี 2563 ที่ 1.50 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 14 สิงหาคม 2563 และจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 สิงหาคม 2563