ผู้จัดการรายวัน360-ปตท.สผ. เทงบลงทุนปี 63 กว่า 1.43 แสนล้านบาท ส่วนงบลงทุนรวม 5 ปี รวมกว่า 7.16 แสนล้านบาท เตรียมลงทุนเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมในโครงการที่มีอยู่ เพิ่มการผลิตจากโครงการที่ประมูลได้ และเร่งหาประโยชน์จากโครงการที่ได้เข้าซื้อกิจการ เผยยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาหุ่นยนต์ที่ใช้ในการสำรวจ พัฒนา และผลิต พร้อมตั้งเป้าปริมาณการขายปิโตรเลียมเพิ่ม 11%
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ. เปิดเผยว่า ปตท.สผ. ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ไว้ที่ 4,613 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 143,012 ล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายลงทุน จำนวน 2,647 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 82,064 ล้านบาท และรายจ่ายดำเนินงาน จำนวน 1,966 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 60,948 ล้านบาท ส่วนแผนการลงทุน 5 ปี (ปี 63-67) จัดสรรงบลงทุนรวม 24,619 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 716,216 ล้านบาท
โดยจากแผนงานดังกล่าว ปตท.สผ. ตั้งเป้าปริมาณการขายปิโตรเลียมจากโครงการผลิตปัจจุบัน มีอัตราการเติบโตของปริมาณการขายโดยเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้นในช่วง 5 ปี ระหว่างปี 2563-2567 ประมาณ 6%
"จากงบประมาณดังกล่าว ปตท.สผ. คาดว่าในปี 2563 จะสามารถเพิ่มปริมาณการขายปิโตรเลียมได้ประมาณ 11% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้ ส่วนปริมาณการขายเฉลี่ยในช่วง 5 ปีข้างหน้า จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือเป็นความสำเร็จจากการดำเนินการตามกลยุทธ์ Expand ทั้งการชนะการประมูล และการเข้าซื้อกิจการในพื้นที่ยุทธศาสตร์การลงทุนในไทย มาเลเซีย และในตะวันออกกลาง โดยในปี 2563 จะมุ่งเน้นการดำเนินการตามกลยุทธ์ Execute โครงการหลักต่างๆ เพื่อรักษาปริมาณการผลิต และเร่งการพัฒนาโครงการที่สำคัญให้สามารถเริ่มการผลิตได้ตามแผนเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิต รวมทั้งเร่งกิจกรรมการสำรวจเพื่อค้นหาปิโตรเลียมเพิ่มเติม เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว"นายพงศธรกล่าว
สำหรับแผนงานหลักที่จะดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ในปี 2563 มีดังนี้ 1.รักษาปริมาณการผลิตจากโครงการผลิตหลักที่สำคัญ ได้แก่ โครงการเอส 1 โครงการบงกช โครงการอาทิตย์ โครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย และโครงการซอติก้า รวมถึงรักษาปริมาณการผลิตในโครงการใหม่ที่ได้จากการเข้าซื้อกิจการและการชนะประมูล ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ได้แก่ โครงการมาเลเซีย โครงการภายใต้บริษัท พาร์เท็กซ์ โฮลดิ้ง บี.วี. โครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) และโครงการ G2/61 (แหล่งบงกช)
2.เพิ่มปริมาณการผลิตในอนาคต มุ่งเน้น 3 โครงการหลักที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา ได้แก่ โครงการมาเลเซีย แปลงเอช โครงการโมซัมบิก แอเรีย วัน และโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ให้สามารถเริ่มการผลิตได้ตามแผน รวมถึงการเร่งพัฒนาโครงการมาเลเซีย-ซาราวัก เอสเค 410บี ซึ่งประสบความสำเร็จในการเจาะสำรวจในปีที่ผ่านมา เพื่อให้สามารถเข้าสู่ขั้นตอนการตัดสินใจการลงทุนขั้นสุดท้าย
3.เร่งกิจกรรมสำรวจเพื่อค้นหาทรัพยากรเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว โดยการเจาะหลุมสำรวจและประเมินผลสำหรับโครงการในประเทศมาเลเซียและเมียนมา
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการสำรวจ พัฒนา และผลิตปิโตรเลียม โดยบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ได้วิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์จนสามารถให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ ทั้งในและนอกอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เช่น โดรนเพื่อการตรวจสอบ โดรนแปรอักษร และยานยนต์ใต้น้ำบังคับระยะไกล
ส่วนแผนงานในปี 2563 จะพัฒนาหุ่นยนต์สำหรับการใช้งานจริง ได้แก่ หุ่นยนต์อัตโนมัติใต้น้ำตรวจสอบท่อส่งปิโตรเลียมและโครงสร้างใต้น้ำ หุ่นยนต์ซ่อมบำรุงท่อใต้น้ำ และหุ่นยนต์ตรวจสอบภายในท่อ รวมทั้งยังมีแผนพัฒนาอีกกว่า 30 โครงการให้บริการเชิงพาณิชย์ในปีถัดๆ ไปอีกด้วย
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ. เปิดเผยว่า ปตท.สผ. ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ไว้ที่ 4,613 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 143,012 ล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายลงทุน จำนวน 2,647 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 82,064 ล้านบาท และรายจ่ายดำเนินงาน จำนวน 1,966 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 60,948 ล้านบาท ส่วนแผนการลงทุน 5 ปี (ปี 63-67) จัดสรรงบลงทุนรวม 24,619 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 716,216 ล้านบาท
โดยจากแผนงานดังกล่าว ปตท.สผ. ตั้งเป้าปริมาณการขายปิโตรเลียมจากโครงการผลิตปัจจุบัน มีอัตราการเติบโตของปริมาณการขายโดยเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้นในช่วง 5 ปี ระหว่างปี 2563-2567 ประมาณ 6%
"จากงบประมาณดังกล่าว ปตท.สผ. คาดว่าในปี 2563 จะสามารถเพิ่มปริมาณการขายปิโตรเลียมได้ประมาณ 11% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้ ส่วนปริมาณการขายเฉลี่ยในช่วง 5 ปีข้างหน้า จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือเป็นความสำเร็จจากการดำเนินการตามกลยุทธ์ Expand ทั้งการชนะการประมูล และการเข้าซื้อกิจการในพื้นที่ยุทธศาสตร์การลงทุนในไทย มาเลเซีย และในตะวันออกกลาง โดยในปี 2563 จะมุ่งเน้นการดำเนินการตามกลยุทธ์ Execute โครงการหลักต่างๆ เพื่อรักษาปริมาณการผลิต และเร่งการพัฒนาโครงการที่สำคัญให้สามารถเริ่มการผลิตได้ตามแผนเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิต รวมทั้งเร่งกิจกรรมการสำรวจเพื่อค้นหาปิโตรเลียมเพิ่มเติม เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว"นายพงศธรกล่าว
สำหรับแผนงานหลักที่จะดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ในปี 2563 มีดังนี้ 1.รักษาปริมาณการผลิตจากโครงการผลิตหลักที่สำคัญ ได้แก่ โครงการเอส 1 โครงการบงกช โครงการอาทิตย์ โครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย และโครงการซอติก้า รวมถึงรักษาปริมาณการผลิตในโครงการใหม่ที่ได้จากการเข้าซื้อกิจการและการชนะประมูล ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ได้แก่ โครงการมาเลเซีย โครงการภายใต้บริษัท พาร์เท็กซ์ โฮลดิ้ง บี.วี. โครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) และโครงการ G2/61 (แหล่งบงกช)
2.เพิ่มปริมาณการผลิตในอนาคต มุ่งเน้น 3 โครงการหลักที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา ได้แก่ โครงการมาเลเซีย แปลงเอช โครงการโมซัมบิก แอเรีย วัน และโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ให้สามารถเริ่มการผลิตได้ตามแผน รวมถึงการเร่งพัฒนาโครงการมาเลเซีย-ซาราวัก เอสเค 410บี ซึ่งประสบความสำเร็จในการเจาะสำรวจในปีที่ผ่านมา เพื่อให้สามารถเข้าสู่ขั้นตอนการตัดสินใจการลงทุนขั้นสุดท้าย
3.เร่งกิจกรรมสำรวจเพื่อค้นหาทรัพยากรเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว โดยการเจาะหลุมสำรวจและประเมินผลสำหรับโครงการในประเทศมาเลเซียและเมียนมา
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการสำรวจ พัฒนา และผลิตปิโตรเลียม โดยบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ได้วิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์จนสามารถให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ ทั้งในและนอกอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เช่น โดรนเพื่อการตรวจสอบ โดรนแปรอักษร และยานยนต์ใต้น้ำบังคับระยะไกล
ส่วนแผนงานในปี 2563 จะพัฒนาหุ่นยนต์สำหรับการใช้งานจริง ได้แก่ หุ่นยนต์อัตโนมัติใต้น้ำตรวจสอบท่อส่งปิโตรเลียมและโครงสร้างใต้น้ำ หุ่นยนต์ซ่อมบำรุงท่อใต้น้ำ และหุ่นยนต์ตรวจสอบภายในท่อ รวมทั้งยังมีแผนพัฒนาอีกกว่า 30 โครงการให้บริการเชิงพาณิชย์ในปีถัดๆ ไปอีกด้วย