อียูประกาศจุดยืนเจรจาเอฟทีเอกับคู่ค้าต่อเนื่อง เล็งเจรจาอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ให้จบปี 64 ปรับปรุงข้อตกลงทางการค้ากับเม็กซิโกและชิลีเปิดเจรจาเอฟทีเอกับอินเดีย และเจรจาการลงทุนกับจีน ตั้งเป้าลงนามเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือกับไทยภายในปี 64 เผยไทยได้ศึกษาโอกาสและผลกระทบจากการฟื้นเอฟทีเอไทย-อียูแล้ว คาดสรุปผล ส.ค.นี้
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการยุโรปได้เผยแพร่เอกสารจุดยืนของสหภาพยุโรป (อียู) ในการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศคู่ค้าฉบับล่าสุด หลังเกิดวิกฤตโควิด-19 และคณะมนตรียุโรปได้เผยแพร่เอกสารวิสัยทัศน์ของประธานคณะมนตรียุโรป ในช่วง 18 เดือนข้างหน้า โดยได้สรุปทิศทางนโยบายการค้า และความคาดหวังของอียูที่มีต่อประเทศคู่ค้า และคู่เจรจาเอฟทีเอ ที่ยังคงให้ความสำคัญต่อระบบการค้าแบบเปิด เป็นไปตามระเบียบและกฎเกณฑ์ มีความเป็นธรรม ความคาดหวังสูง และมีความยั่งยืน โดยต้องการใช้เอฟทีเอเป็นกลไกในการขยายการค้าและการลงทุน
ปัจจุบันอียูได้ทำเอฟทีเอระดับสองฝ่ายกับประเทศคู่ค้าแล้ว 32 ประเทศ เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แคนาดา ชิลี และเม็กซิโก เป็นต้น และมีแผนการเจรจาเอฟทีเอกับประเทศคู่ค้าอื่นๆ โดยจะผลักดันการเจรจาเอฟทีเอกับอินโดนีเซีย ซึ่งเริ่มต้นในปี 2559 และการเจรจาเอฟทีเอกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งเริ่มต้นในปี 2561 ให้สามารถสรุปผลได้ในปี 2564 ปรับปรุงความตกลงทางการค้าที่มีอยู่แล้วกับเม็กซิโกและชิลีให้ทันสมัย และเดินหน้าเจรจาเอฟทีเอกับอินเดีย และความตกลงด้านการลงทุนกับจีน
ส่วนการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูที่หยุดชะงักมาตั้งแต่ปี 2557 คณะมนตรีแห่งอียูด้านการต่างประเทศได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2562 ให้กระชับความสัมพันธ์กับไทยให้แน่นแฟ้นขึ้น ซึ่งได้ตั้งเป้าให้อียูลงนามความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือ (Partnership and Co-operation Agreement) ภายในปี 2564 ซึ่งเป็นความตกลงที่วางรากฐานความสัมพันธ์อียูกับไทยในด้านต่างๆ รวมทั้งฟื้นการเจรจาเอฟทีเอ เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความคาดหวังจากการเจรจาในระดับที่ใกล้เคียงกัน
สำหรับการเตรียมการของไทย กรมฯ ได้มอบสถาบันอนาคตไทยศึกษาทำการศึกษาต่อยอดเพิ่มเติมถึงโอกาสและผลกระทบจากการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมเผยแพร่ในเดือนส.ค. 2563 และยังมีแผนจัดสัมมนารับฟังความเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน เกษตรกร ผู้ประกอบการ และภาคประชาสังคม เพื่อรวบรวมเป็นข้อมูลเสนอระดับนโยบายพิจารณาตัดสินใจต่อไป
ทั้งนี้ จากการติดตามเอฟทีเอที่อียูเจรจาและลงนามกับประเทศคู่ค้า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาพบว่าครอบคลุมประเด็นใหม่ๆ เช่น พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การเปิดตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การยกระดับมาตรฐานแรงงาน โดยให้เสรีภาพในการสมาคมและรวมตัว การเข้าเป็นภาคี UPOV 1991 และทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น ซึ่งเป็นระดับความคาดหวังที่สูงและท้าทาย