ส.อ.ท.เร่งทำแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมหลังโควิด-19 รับมือโลกเปลี่ยน และเทรดวอร์รอบ 2 ที่ตั้งเค้าเกิดขึ้น ปักธงยกเครื่อง 45 อุตสาหกรรม 11 คลัสเตอร์เน้นแผนผลิตครบวงจรพึ่งในประเทศเป็นหลัก ดันรัฐวางแพกเกจส่งเสริมลงทุนเป็นพิเศษ พร้อมหนุนเพิ่ม 6 อุตสาหกรรมใหม่ คาดเสร็จพ.ค.นี้เพื่อเสนอรัฐประกอบแผนฟื้นฟู ศก.และสังคมที่เตรียมงบ 4 แสนล้านบาทดำเนินการ
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการฟื้นฟูหลังโควิด-19 เปิดเผยว่า ส.อ.ท.อยู่ระหว่างการจัดทำแผนฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมเพื่อที่จะรองรับกับโลกที่จะเปลี่ยนแปลงไปทั้งการค้า การลงทุน พฤติกรรมผู้บริโภค ภายหลังผลกระทบโควิด-19 ที่ประเทศส่วนใหญ่จะปรับตัวเน้นพึ่งพาตนเองมากขึ้น รวมไปถึงการรองรับสงครามการค้า (Trade War) รอบที่ 2 ที่คาดว่าอาจขึ้นได้หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ขู่ที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนจากการที่จีนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงระยะที่ 1 คาดว่าแผนดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้
“แผนดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำเสนอรัฐบาลเพื่อประกอบกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลที่วางเงินงบประมาณในการดำเนินงานไว้ประมาณ 400,000 ล้านบาทจาก พ.ร.ก.เงินกู้ โดย ส.อ.ท.ได้มีการจัดทำแผนไว้เบื้องต้นแล้ว และล่าสุดได้มีการทำแพลตฟอร์มเพื่อให้สมาชิก 45 กลุ่ม 11 คลัสเตอร์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิมของไทยดำเนินการวางแผนการผลิตให้ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำที่จะต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนทั้งชิ้นส่วนผลิตได้เอง นำเข้าเป็นสัดส่วนเท่าใด และอะไรจะต้องมีการต่อยอดเพิ่มเติมเป็นต้น” นายเกรียงไกรกล่าว
ทั้งนี้ เบื้องต้นคลัสเตอร์ยานยนต์ของไทยพบว่าปัจจุบันมีการพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วน 30% เช่น เกียร์ ประตู เพลา พวงมาลัยและเบรก ทำให้แต่ละปีไทยต้องสูญเสียเงินจำนวนมาก ซึ่งจากการจัดทำแผนมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนอย่างน้อยให้ลดการนำเข้าเหลือ 20% ในระยะแรก เนื่องจากเทคโนโลยีบางอย่างผู้ที่เป็นเจ้าของมักปิดเป็นความลับจึงไม่ง่าย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมให้เกิดชิ้นส่วนในประเทศจะเน้นให้คนไทยผลิตเองก่อน จากนั้นจะมองการร่วมลงทุน โดยแนวทางนี้จะเสนอรัฐให้สนับสนุนเช่นให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ออกแพกเกจส่งเสริมเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้สามารถลดต้นทุนที่อาจจะสูงในระยะแรก เป็นต้น
สำหรับการพัฒนาห่วงโซ่การผลิตทั้งต้นน้ำจนถึงปลายน้ำดังกล่าวเป็นหนึ่งในแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมดั้งเดิม 45 กลุ่ม 11 คลัสเตอร์เพื่อลดการพึ่งพานำเข้า แล้วยังมีมาตรการที่สำคัญอีก 2 แนวทาง ได้แก่ การสนับสนุนสินค้าไทย (Made in Thailand) ที่จะเสนอรัฐให้ระบบจัดซื้อจัดจ้างในกรมบัญชีกลางเน้นการใช้สินค้าไทยเป็นอันดับแรกก่อน และการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีภาคเกษตรและอาหารที่อุตสาหกรรมนี้ไทยมีศักยภาพอยู่แล้วให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ยังกำหนดการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะมาแรงในอนาคต 6 อุตสาหกรรม ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งเทคโนโลยี 5G จะเข้ามาเร่งการนำมาใช้ในภาคการค้าและบริการมากขึ้น 2. อุตสาหกรรมเกี่ยวข้องกับสุขภาพ เพราะโควิด-19 ทำให้ทุกส่วนหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น 3. เครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ ที่ไทยมีโอกาสก้าวสู่ตลาดดังกล่าวมากขึ้นหลังจากที่รัฐบาลได้บริหารจัดการควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างดี 4. อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ที่จะมีส่วนสำคัญในการจัดการขนส่งสินค้าทั้งจากตลาดค้าออนไลน์และค้าปลีก 5. อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ และ 6. อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ หรือ Bio Economy ที่จะต่อยอดมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรของไทยที่จะครอบคลุมไปยังอาหาร เชื้อเพลิง เวชภัณฑ์ เป็นต้น