กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เผยสหรัฐฯ ตัดจีเอสพียังไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกปีนี้ แต่จะส่งผลดีให้มีการเร่งนำเข้าในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้เพิ่มขึ้น พร้อมทำแผนรับมือกระจายความเสี่ยงให้กับสินค้าที่โดนผลกระทบ เตรียมหาตลาดส่งออกใหม่ ดันผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในสหรัฐฯ หรือประเทศที่สหรัฐฯ มีเอฟทีเอ จับมือผู้นำเข้าจัดกิจกรรมกระตุ้นความต้องการสินค้าไทย และใช้ช่องทางออนไลน์ขยายตลาด
นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า การที่สหรัฐฯ ประกาศตัดสิทธิจีเอสพีที่เคยให้ไทยบางรายการจะยังคงไม่กระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยที่ส่งไปสหรัฐฯ ในปี 2562 เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่มีคำสั่งซื้อไว้ล่วงหน้าและทยอยส่งมอบไปแล้ว และคาดว่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ที่ผู้นำเข้าสหรัฐฯ จะมีการเร่งนำเข้าเพิ่มมากขึ้นก่อนมาตรการตัดสิทธิจะมีผลบังคับใช้ โดยสินค้าที่จะได้รับผลดี เช่น กลุ่มสินค้าอาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฐานการผลิตในไทย
ทั้งนี้ จะเร่งรัดผลักดันการส่งออกสินค้าในกลุ่มที่ได้มีการคืนสิทธิจำนวน 7 รายการ ได้แก่ ปลาแช่แข็ง ดอกกล้วยไม้สด เห็ดทรัฟเฟิล ผงโกโก้ หนังของสัตว์เลื้อยคลาน เลนส์แว่นตา และส่วนประกอบของเครื่องแรงดันไฟฟ้า
ขณะเดียวกัน มีแผนที่จะกระจายความเสี่ยง โดยหาตลาดส่งออกให้หลากหลายและแสวงหาตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่โดนผลกระทบ โดยกรมฯ ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ทำหน้าที่เป็นเซลส์แมนเร่งหาตลาดและสำรวจความต้องการของตลาดแล้ว และยังมีแผนตั้งแต่ขณะนี้จนถึงช่วงกลางปี 2563 ที่จะบุกตลาดและกระตุ้นให้เกิดความต้องการสินค้าไทยในประเทศเป้าหมายทั่วโลก เช่น อินเดีย บาห์เรน กาตาร์ แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น จีน สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป ตุรกี รัสเซีย CLMV ศรีลังกา บังกลาเทศ และอินโดนีเซีย เป็นต้น
นายสมเด็จกล่าวว่า กรมฯ ยังมีแผนส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการเกษตร และอาหารแปรรูป ใช้โอกาสจากภาวะเงินบาทแข็งค่าไปลงทุนในสหรัฐฯ ในรูปของสำนักงานขาย หรือการแสวงหาเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน หรือในประเทศที่สหรัฐฯ มีข้อตกลงการค้าเสรี เช่น แคนาดา ชิลี และเม็กซิโก เพื่อใช้สิทธิในการส่งสินค้าเข้าสหรัฐฯ
นอกจากนี้ จะเร่งกระชับความสัมพันธ์กับผู้นำเข้าพันธมิตร และเพิ่มความร่วมมือกับผู้นำเข้าขนาดกลาง และ SMEs ในประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งสร้างความต้องการสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมในห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เกต ร้านอาหารไทย และกิจกรรมส่งเสริมสินค้าไทยในหลายตลาด ซึ่งจะดำเนินการไปพร้อมกับการให้ความสำคัญต่อการรักษาคุณภาพและมาตรฐานสินค้า พัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรมที่สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาด อีกทั้งการสร้างความเข้มแข็งให้แบรนด์สินค้า และทรัพย์สินทางปัญญาของสินค้า เพื่อสร้างจุดเด่นและความได้เปรียบของสินค้าไทย
ส่วนช่องทางอื่นๆ จะเน้นการผลักดันการค้าผ่าน www.thaitrade.com ซึ่งเป็นช่องทางการค้าออนไลน์ที่สามารถส่งออกสินค้าไทยคู่ขนานไปกับการค้ารูปแบบเดิม และยังจะร่วมมือกับแพลตฟอร์มของประเทศคู่ค้าที่สำคัญผลักดันการทำตลาดออนไลน์ โดยจะเปิด TopThai Flagship Store ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มขายสินค้าของไทยในแพลตฟอร์มต่างประเทศ และในเดือน พ.ย. 2562 จะเปิดตัวร่วมกับ TMall Global ในจีน และจะขยายสู่ประเทศสำคัญอื่นๆ ต่อไป