“สนธิรัตน์” เบรกจานด่วน ห้ามฉวยโอกาสขึ้นราคา 5 บาท หลังก๊าซหุงต้มขึ้น เหตุผลการวิเคราะห์ต้นทุนกระทบแค่ 15-20 สตางค์ แจ้งประชาชนหากพบเห็นการฉวยโอกาสรีบแจ้งสายด่วน 1569 จัดตรวจสอบและจัดการทันที ส่วนดีเซลขึ้นราคา กระทบต้นทุนสินค้าไม่มาก ไม่มีเหตุผลต้องปรับราคาเช่นกัน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ผลการวิเคราะห์ต่อต้นทุนอาหารปรุงสำเร็จ (จานด่วน) ต่อการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) เพิ่มเป็นถังละ 395 บาท (ถัง 15 กิโลกรัม) หรือปรับขึ้นถังละ 42 มีผลกระทบต่ออาหารจานด่วนแค่ 15-20 สตางค์/จาน/ชาม จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้ประกอบการจะปรับราคาขึ้นทีละ 5 บาท/จาน/ชาม เพราะผลศึกษา เช่น ข้าวผัดกระเพรามีต้นทุนเพิ่มแค่จานละ 15 สตางค์ หรือก๋วยเตี๋ยว ที่ใช้ก๊าซหุงต้มมาก ก็เพิ่มขึ้นแค่ 20 สตางค์ต่อชาม
โดยราคาก๊าซหุงต้มในขณะนี้ เป็นราคาเดียวกันกับช่วงปี 2558 ช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค. ที่อยู่ในระดับ 395 บาทต่อถัง และหลังจากนั้นราคาก็ปรับลดลง จนมาถึงปัจจุบันได้ปรับเพิ่มขึ้นตามกลไกตลาด ทำให้ประชาชนเกิดความกังวลว่าราคาอาหารจานด่วนจะปรับขึ้นตาม จึงได้สั่งการให้กรมการค้าภายในจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบทั้งประเทศแล้ว และหากพบการเอารัดเอาเปรียบก็จะดำเนินการตามกฎหมายทันที เพราะต้นทุนเพิ่มขึ้นไม่มาก จึงอยากขอความร่วมมือไม่ให้ปรับขึ้นราคา แต่หากปรับขึ้นจะถือเป็นการฉวยโอกาสต่อพี่น้องประชาชน โดยหากประชาชนพบเห็นการปรับราคาที่ไม่เป็นธรรมก็ให้แจ้งมาที่สายด่วน 1569 จะเข้าไปตรวจสอบทุกราย
ส่วนการปรับขึ้นราคาของน้ำมันดีเซล ผลการวิเคราะห์พบว่า มีผลต่อต้นทุนขายปลีกสินค้าไม่เกิน 0.5% โดยสินค้าที่มีน้ำหนักมากสุดกระทบ 0.5% และสินค้าที่น้ำหนักน้อย ก็กระทบน้อยแค่ 0.003% เท่านั้น แต่เพื่อให้สามารถติดตามสถานการณ์สินค้าได้อย่างใกล้ชิด ได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในประชุมร่วมกับผู้ผลิตสินค้าแล้ว