พีทีที โกลบอลฯ ปรับเป้ารายได้จากการขายปีนี้เพิ่มเป็น 5 แสนล้านบาท หลังประมาณการณ์ราคาน้ำมันดิบปีนี้เพิ่มเป็น 65-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แย้มไตรมาส 2 นี้ ผลดำเนินงานออกมาดี เหตุไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานและสเปรดเม็ดพลาสติกสูง และลุ้นมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ปรับเป้ารายได้จากการขายในปีนี้เป็น 5 แสนล้านบาท จากเดิมที่เคยวางเป้าไว้ 4.8 แสนล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ปรับประมาณการณ์ราคาน้ำมันดิบปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 65-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปลายปีที่แล้วที่ประมาณการณ์ปีนี้ไว้ 52 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์พลาสติกดีอยู่
ในปีนี้บริษัทฯ คาดว่ามีค่าการกลั่น (Market GRM) จะไม่ต่ำกว่า 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลงจากปีก่อนที่เฉลี่ย 6.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยไตรมาสแรกปีนี้ค่าการกลั่นอยู่ที่ 6.15 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พลาสติก HDPE กับวัตถุดิบ (สเปรด) ปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 750 เหรียญสหรัฐ ขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสี่อมและภาษี (EBITDA Margin) อยู่ที่ 13-14% โดยยอมรับว่าค่าเงินบาทที่แข็งหรืออ่อนค่าลงทุก 1 บาท/ดอลลาร์สหรัฐจะมีผลกระทบต่อกำไรบริษัทราว 500-1,000 ล้านบาท/ปี
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/2561 บริษัทฯ คาดว่าแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบเกือบ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากไตรมาส 1 ที่ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบอยู่ที่ 63.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หากราคาน้ำมันดิบยืนได้ระดับนี้ไปจนสิ้นไตรมาส 2 บริษัทจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันด้วย รวมทั้งโรงกลั่นน้ำมันและโรงปิโตรเคมีของบริษัทมีการใช้กำลังการผลิตเต็มที่ ไม่มีการปิดซ่อมบำรุง ขณะนี้ราคาเม็ดพลาสติก HDPE อยู่ที่ 1,350 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้สเปรดเม็ดพลาสติก HDPEอยู่ที่ 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 120,939 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% และมีกำไรสุทธิ 12,388 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยไตรมาส 1/2561 บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนการเข้าซื้อทรัพย์สินกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีของ ปตท.ในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งรับรู้รายได้จากโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร (MAX)