บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล เผยไตรมาส 1/61 กำไรสุทธิ 1.23 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.75 บาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 6% ที่มีกำไรสุทธิ 1.31 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.96 บาท หลังจากได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็ง สวนทางรายได้รวมเฉียด 1.21 แสนล้าน เพิ่มขึ้นกว่า 9%
น.ส.ดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 2561 ว่า บริษัทฯ มีผลการดำเนินการปรับตัวดีต่อเนื่องเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีรายได้จากการขาย 120,939 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 มี Adjusted EBITDA 16,319 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 และมีกำไรสุทธิรวม 12,388 ล้านบาท (2.75 บาทต่อหุ้น) ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จากไตรมาส 4/2560
โดยในไตรมาส 1/61 นี้ ธุรกิจโอเลฟินส์ และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยหลักจากสถานการณ์ราคาผลิตภัณฑ์โพลีโอเลฟินส์ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก และไตรมาสนี้บริษัทฯ ยังได้รับผลดีจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนจากการเข้าซื้อสินทรัพย์กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี ในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนเฉพาะส่วนของบริษัทฯมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2,024 ล้านบาท รวมถึงและผลประโยชน์จากโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร (MAX) ที่รับรู้มาอย่างต่อเนื่องทำให้สามารถสนับสนุนผลประกอบการของบริษัทฯ ในไตรมาสนี้ แม้ว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบของธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจอะโรเมติกส์ จะมีการอ่อนตัวลงทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2560 กำไรรวมสุทธิปรับตัวลดลงร้อยละ 6 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
โดยไตรมาส 1/2561 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 120,939 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/60 ร้อยละ 9 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/60 ร้อยละ 2 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะสายธุรกิจโอเลฟินส์ และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ที่ได้รับผลดีจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบส่งผลให้มี Adjusted EBITDA 16,319 ล้านบาท และมี Adjusted EBITDA Margin ร้อยละ 13 โดยในธุรกิจการกลั่นส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันอากาศยาน และน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2560 และไตรมาส 4/2560 จากปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์น้ำมัน เพื่อใช้ทำความร้อนในสภาวะอากาศหนาว และโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ในทวีปยุโรป หยุดซ่อมบำรุงฉุกเฉิน ส่งผลให้ Market GRM ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 6.15 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เบนซิน กับราคาคอนเดนเสท ในไตรมาสนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 318 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ส่วนต่างเฉลี่ยของราคาพาราไซลีกับราคาคอนเดนเสทอยู่ที่ 386 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยได้รับผลดีจากความต้องการของผลิตภัณฑ์ปลายทางที่มีการเติบโตที่ดีในไตรมาสนี้
ขณะที่ส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์พลอยได้ และคอนเดนเสท โดยเฉพาะในส่วนของผลิตภัณฑ์แนฟทา และก๊าซแอลพีจี ได้มีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญทำให้กำไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ (Market P2F) ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 166 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และจากสถานการณ์ราคาดังกล่าวส่งผลให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ฟีนอล ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ปลายน้ำกับเบนซีนอยู่ที่ 370 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เพิ่มขึ้นจาก 95 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ในไตรมาส 1/2560 และเป็นปัจจัยหลักให้ AdjustedEBITDA Margin ของสายธุรกิจ Performance Materials และ Chemical ปรับตัวดีขึ้นเป็นร้อยละ 15 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6 ในไตรมาส 1/2560
ส่วนของธุรกิจโอเลฟินส์ และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ราคาเม็ดพลาสติก HDPE เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มมาอยู่ที่ 1,379 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาส 1/2560 และ 12% จากไตรมาส 4/2560 โดยเป็นผลจากการเติบโตของอุปสงค์ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้นประกอบกับประเทศจีน มีการดำเนินนโยบายควบคุมมลพิษทำให้ไม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีน จากกระบวนการผลิตจากวัตถุดิบรีไซเคิลได้ทำให้มีความต้องการผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีน เพิ่มขึ้นจากภาวะปกติ ขณะที่อุปทานใหม่จากโครงการในประเทศสหรัฐอเมริกา ยังไม่ได้มีเข้ามาใหม่ในไตรมาสนี้ ด้านราคาผลิตภัณฑ์ MEG (ACP) นั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,142 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยได้รับผลดีจากความต้องการผลิตภัณฑ์โพลีเอสเตอร์ ในประเทศจีน ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง และปริมาณสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับที่ต่ำด้วยปัจจัยดังกล่าว จึงส่งผลให้ผลการดำเนินงานของธุรกิจโอเลฟินส์ และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ในไตรมาส 1/2561 Adjusted EBITDA margin ของธุรกิจนี้อยู่ที่ร้อยละ 32 เท่ากับไตรมาส 1/2560และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/2560 ที่ร้อยละ 29
ในไตรมาสนี้ ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม และกิจการที่ควบคุมร่วมกัน อยู่ที่ 2,024 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 318 จากไตรมาส 1/2560 และร้อยละ 19 จากไตรมาส 4/2560 โดยส่วนใหญ่มากจากบริษัทเอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด (HMC) และบริษัท พีทีที อาซาฮี เคมิคอล จำกัด (PTTAC) ที่ผลประกอบการที่ดีในผลิตภัณฑ์โพลีโพรพิลีน และอะคริโลไนไตรล์ นอกจากนี้ ยังรับรู้กำไรอย่างต่อเนื่องจากโครงการ MAX หรือโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กรเพิ่มเติมอีกจำนวน 347 ล้านบาท จากปัจจัยข้างต้น ทำให้ในไตรมาสนี้บริษัทฯ รายงาน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 16,319 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ12,388 ล้านบาท