ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย.เพิ่มสูงสุดในรอบ 40 เดือน หลังเศรษฐกิจฟื้นตัว จากภาคการส่งออกและท่องเที่ยว ส่วนสินค้าเกษตรหลายตัวราคาปรับตัวดีขึ้น จับตาแนวโน้มน่าจะดีต่อเนื่อง คาดครึ่งปีหลังผู้บริโภคจะเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยคึกคัก และผลักดันให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้โตที่ 4.2-4.6% ได้
นายธนวรรธน์ พลวิชัย รองคณบดีฝ่ายวิจัยและผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย. 2561 อยู่ที่ 80.9 เพิ่มขึ้นจากเดือน มี.ค.ที่ 79.9 เป็นค่าดัชนีที่สูงสุดในรอบ 40 เดือน นับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2558 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ที่ 55.3 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคตอยู่ที่ 91.9 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 67.8 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานทำอยู่ที่ 75.8 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 99.1
สาเหตุที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้น มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่เห็นได้อย่างชัดเจน โดยมีภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อน โดยการส่งออกเริ่มส่งผลดี มีการกระจายคำสั่งซื้อไปสู่ผู้ประกอบการ SMEs และด้านการท่องเที่ยว มีการเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน และยังได้รับผลดีจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวดีขึ้นในรอบ 6-12 เดือน เช่น ข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพด ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกเริ่มคลี่คลาย และค่าเงินบาทที่เคยมองว่าจะเป็นปัญหาสำคัญ ก็ไม่แข็งค่าทะลุ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
ส่วนปัจจัยลบที่ฉุดความเชื่อมั่น ยังคงเป็นปัญหาการเมืองภายในประเทศที่อาจจะมีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปจากเดือน ก.พ. 2562 ราคาขายปลีกน้ำมันยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง สินค้าเกษตรบางรายการยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ เช่น ปาล์มน้ำมัน และยางพารา เงินบาทแข็งค่า และปัญหาค่าครองชีพที่ยังคงทรงตัวในระดับสูงขึ้น
นายธนวรรธน์กล่าวว่า ต้องติดตามดูว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ แม้ว่าความเชื่อมั่นในอนาคตจะปรับตัวดีขึ้นถึงระดับที่ 91.9 สูงสุดในรอบ 61 เดือน และเข้าใกล้ระดับ 100 ซึ่งเป็นระดับปกติ โดยคาดว่าน่าจะทะลุ 100 ได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ เพราะปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจยังมีทั้งเม็ดเงินจากภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มกระจายลงไป และหากการเบิกจ่ายงบกลางปีที่จะลงในโครงการไทยยั่งยืนและช่วยเหลือภาคการเกษตรทำได้เร็ว ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและเร่งการจับจ่ายใช้สอยได้
“ถ้าเป็นไปตามที่ประเมินไว้ ผู้บริโภคจะเริ่มกลับมามีความมั่นใจในการบริโภคสินค้าและบริการมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งน่าจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเด่นชัดขึ้นในปลายไตรมาสที่ 2 และเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้สูงขึ้น โดยศูนย์ฯ ยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2561 จะโตได้ที่ 4.1-4.2% ไตรมาส 2/2561 โต 4.2-4.4% รวมครึ่งปีแรกโต 4.4-4.6% และเมื่อรวมทั้งปีจะขยายตัวได้ที่ 4.2-4.6%” นายธนวรรธน์กล่าว