สมาคมการค้าเหล็กลวดไทยร้องรัฐหามาตรการป้องกันเหล็กนำเข้าทะลักเข้าไทยหลังสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม เสนอเร่งออกมาตรการเซฟการ์ดและทบทวนมาตรการ AD ให้รัดกุมยิ่งขึ้น หลังจีนเลี่ยงบาลีหันไปเจือโครเมียมและไทเทเนียมแทนโบรอน
นายธีรยุทธ เลิศศิรรังสรรค์ นายกสมาคมการค้าเหล็กลวดไทย กล่าวถึงกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม ร้อยละ 25 และ 10 ตามลำดับ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 23 มี.ค.นี้ แต่ยกเว้นให้แคนาดาและเม็กซิโกว่า อุตสาหกรรมเหล็กลวดไทยในระยะสั้นจะไม่ส่งผลกระทบเพราะมีการส่งออกไปสหรัฐฯ น้อยมาก แต่จะกระทบต่อผู้ประกอบการเหล็กแผ่นรีดเย็นและท่อเหล็กมากกว่าเพราะมีการส่งออกไปมาก ซึ่งขณะนี้ทางรัฐบาลไทยก็ทำเรื่องที่จะขอยกเว้นภาษีดังกล่าว แต่ไม่มั่นใจว่าสำเร็จและทันเวลาหรือไม่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากลุ่มเหล็กลวดจะไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ แต่ย่อมได้รับผลกระทบทางอ้อมจากเหล็กลวดที่บางประเทศไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ไหลทะลักเข้าไทยในฐานะเป็นประเทศที่มีการนำเข้าเหล็กรายใหญ่ในภูมิภาคนี้ ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการเหล็กลวดไทยก็ใช้กำลังการผลิตราว 50% ของกำลังการผลิตรวม เนื่องจากถูกกดดันจากเหล็กลวดนำเข้าจากจีนและเวียดนาม แม้ว่าจะมีการใช้มาตรการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) เหล็กลวดเจือโบรอนจากจีนแล้วก็ตาม แต่ล่าสุดจีนได้หันไปเติมธาตุเจืออื่นแทนโบรอน มีทั้งไทเทเนียมและโครเมียมเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีนำ AD
ดังนั้น ทางสมาคมฯ จึงขอเรียกร้องให้รัฐนำมาตรการปกป้องหรือเซฟการ์ด มาเร่งใช้โดยด่วน รวมทั้งมาตรการตอบโต้การอุดหนุน พร้อมกับทบทวนมาตรการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดปัจจุบันเพื่อให้รัดกุม ไม่ให้เกิดช่องทางการเลี่ยงภาษี รวมทั้งการแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์เหล็กลวดให้สอดคล้องกับความเป็นจริง และมีการทำงานอย่างมีการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบ เช่น กรมการค้าต่างประเทศ กรมศุลกากร และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อให้มีประสิทธิผลในเวลาที่รวดเร็วทันเวลา เพื่อป้องกันการสูญเสียในวงกว้างของผู้ประกอบการในไทย