ผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท.ยันเปิดสัมปทานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เอกชนลงทุนสร้างส่วนต่อขยายแอร์พอร์ตเรลลิงก์ จากพญาไท-ดอนเมือง และจากลาดกระบัง-อู่ตะเภา ส่วนตรงกลางใช้ทางวิ่งของแอร์พอร์ตลิงก์ พร้อมได้สิทธิ์บริหารพื้นที่มีกกะสันไม่ขัด พ.ร.บ.การรถไฟฯ และไม่เอื้อประโยชน์เอกชน เหตุช่วยลดภาระลงทุนและชดเชยของภาครัฐ
นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาการผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้ชี้แจงประเด็นข้อสังเกตโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คือ สนามบินอู่ตะเภา สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง ซึ่งมีแผนการเดินรถโดยให้รถไฟความเร็วสูงวิ่งจากสนามบินดอนเมือง ผ่านเข้าสถานีมักกะสัน ก่อนจะวิ่งต่อไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภา และเอื้อประโยชน์ให้เอกชนได้ประโยชน์จากการใช้ที่ดินย่านมักกะสันในเชิงการค้าพาณิชย์หรือไม่ ซึ่งเป็นที่ดินอันได้มาจากการเวนคืน เป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมายและขัดรัฐธรรมนูญ รวมถึงหลักความเป็นธรรมนั้น
นายอานนท์กล่าวว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเป็นโครงการที่ใช้โครงสร้างและแนวเส้นทางการเดินรถเดิมของระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน Airport Rail Link ที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน โดยจะก่อสร้างส่วนต่อขยายจากสถานีพญาไท ไปยังสนามบินดอนเมือง และก่อสร้างส่วนต่อขยายจากสถานีลาดกระบัง ไปยังสนามบินอู่ตะเภาและ จ.ระยอง การเดินรถผ่านสถานีมักกะสัน โดยใช้โครงสร้างเดิมของ Airport Rail Link และใช้เขตทางเดิมของการรถไฟฯ ที่มีอยู่จะทำให้ลดภาระค่าก่อสร้างลงได้อย่างมาก เนื่องจากหากเปิดแนวเส้นทางใหม่จะส่งผลกระทบในหลายด้าน จำเป็นต้องเวนคืนที่ดินในเขตใจกลางเมือง ทำให้ค่าก่อสร้างของโครงการสูงขึ้นมาก
นอกจากนี้ ที่ดินบริเวณย่านมักกะสันของการรถไฟฯ อยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการของการรถไฟฯ โดยจะเปิดให้เอกชนเช่าใช้พื้นที่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งโดยจ่ายผลตอบแทนให้การรถไฟฯ ในอัตราที่เหมาะสมและเป็นธรรมตามศักยภาพของพื้นที่ โดยกรรมสิทธิ์ที่ดินยังเป็นของการรถไฟฯ การมีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงผ่านที่ดินย่านมักกะสันจะส่งผลให้การพัฒนาพื้นที่มีศักยภาพสูงขึ้น ในขณะเดียวกันก็จะเกื้อกูลให้ผลตอบแทนจากการร่วมลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินมีมูลค่าสูงขึ้น ลดภาระค่าชดเชยโครงการของภาครัฐในอีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ที่ดินบริเวณย่านมักกะสันที่การรถไฟฯ ได้มาโดยพระบรมราชโองการ พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา และประกาศที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาที่ดินหลายบทบัญญัติ ซึ่งการรถไฟฯ ได้เคยหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับประเด็นการนำที่ดินของการรถไฟฯ บริเวณโรงงานมักกะสันไปทำโครงการพัฒนาเชิงพาณิชย์ โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีคำวินิจฉัยเรื่องเสร็จที่ 1597/2559 เมื่อพฤศจิกายน 2559 สรุปได้ว่าที่ดินที่ได้มาโดยบทบัญญัติดังกล่าวถือเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมรถไฟที่จะใช้ตามวัตถุประสงค์ของกรมรถไฟได้ ต่อมาเมื่อที่ดินนั้นโอนมาเป็นของการรถไฟฯ ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 การรถไฟฯ ย่อมมีสิทธิเช่นเดียวกับกรมรถไฟ และสามารถนำที่ดินดังกล่าวมาดำเนินการใดๆ ตามวัตถุประสงค์ของการรถไฟฯ ได้
สำหรับวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในการจัดหาที่ดินมาให้กรมรถไฟนั้น เป็นเพียงวัตถุประสงค์เบื้องต้น เมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยไปหมดความจำเป็นที่จะดำเนินการตามวัตถุประสงค์เดิม หรือมีความจำเป็นต้องนำที่ดินนั้นไปใช้ทำกิจการอื่นใด ก็ย่อมเป็นไปตามวิวัฒนาการขององค์กรที่เป็นเจ้าของที่ดิน หรือความจำเป็นของประเทศได้ ดังนั้นเมื่อการรถไฟฯ มีอำนาจในการจัดการและนำมาซึ่งความเจริญของกิจการรถไฟ เพื่อประโยชน์แห่งรัฐและประชาชน และธุรกิจอื่นซึ่งเป็นประโยชน์แก่กิจการรถไฟ ซึ่งรวมถึงการให้เช่าและดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินใด ๆ ตามมาตรา 6 และมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 การนำที่ดินบริเวณโรงงานมักกะสันไปทำโครงการพัฒนาเชิงพาณิชย์ จึงสามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมายและขัดรัฐธรรมนูญ รวมถึงหลักความเป็นธรรม