ช.การช่างฯ ตั้งเป้าชิงเค้กส่วนแบ่งงานประมูลโครงสร้างพื้นฐานปี 60 ไม่น้อยกว่า 20% ของมูลค่า 8.95 แสนล.ขณะที่งานในมือและที่รอเซ็นสัญญา คาดมูลค่ารวมทะลุแสนล.แน่นอน ดันปี 59 รายได้แตะ 4.2 – 4.5 หมื่นล. ขณะปี 60 ตั้งเป้ารายได้ขั้นต่ำ 3.5 หมื่นล. ชี้รัฐผลักดันลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสูงสุดประวัติศาสตร์ เผย 60 จะเป็นปีทองธุรกิจรับเหมา “ปลิว”เผยเจรจาสัญญาสายสีน้ำเงินใกล้จบ พร้อมเดินรถต่อเนื่องเก็บแรกเข้าครั้งเดียว ขณะที่รัฐช่วยชดเชยส่วนต่างรายได้ พร้อมเร่งทยอยเปิดปีละสถานีได้ ส่วน 1 สถานี”เตาปูน-บางซื่อ”หลังเคาะจ้างเปิดได้ใน 6 เดือนแน่นอน
นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เปิดเผยว่า ในปี 2559-2560 ถือเป็นปีทองของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากรัฐบาลมีการลงทุนก่อสร้างงานโครงสร้างพื้นฐานออกมาอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมาก ถือเป็นครั้งแรกที่มีการลงทุนมูลค่าสูงขนาดนี้ของประเทศไทย โดยปี 2560 คาดว่าจะมีงานภาครัฐด้านโครงสร้างพื้นฐานมูลค่าไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งจากการติดตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง (Action Plan) ของกระทรวงคมนาคมปี 2559-2560 มีมูลค่าลงทุนรวมถึง 2 ล้านล้านบาท ซึ่งบริษัท มีความพร้อมทั้งด้านกำลังคน,เทคโนโลยี,วิศวกรรม ,การบริหารจัดการ,ขีดความสามารถทางการเงิน และพันธมิตรทางธุรกิจที่ช่วยเสริมศักยภาพในการแข่งขัน และบริษัทในเครือที่มีความแข็งแร่ง สามารถรองรับงานประมูลทั้งในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะใน AEC ซึ่งกำลังศึกษาการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในพม่าเพิ่มเติมด้วย
ทั้งนี้การขับเคลื่อนโครงการของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ช่วยทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจมากขึ้น โดยในส่วนของแผนลงทุนใน Action Plan ปี 60 จำนวน 36 โครงการ 8.95 แสนล้านบาทนั้น บริษัทจะเข้าร่วมประมูลและคาดว่าจะได้รับงานมูลค่า 20% ของทั้งหมด ซึ่งปี 2560 ตลาดรับเหมาจะเติบโตถึง 30-40% จากโครงการลงทุนของภาครัฐที่ออกมา นอกจากนี้ ในส่วนของงานในต่างประเทศ ขณะนี้ทางรัฐบาล สปป.ลาว กำลังพิจารณาที่จะให้บริษัทฯเข้าไปดำเนินโครงการที่ 3 ต่อจากเขื่อนน้ำงึม 2 มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท และโครงการไซยะบุรีมูลค่า 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งประเมินจะเป็นโครงการที่ใหญ่มากขึ้นกว่า 2 โครงการแรก และน่าจะได้ความชัดเจนในปี 2560 ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานที่ผ่านมาของบริษัท ได้รับความน่าเชื่อถือในเรื่องคุณภาพ ประสิทธิภาพ และการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมรวมถึงผลตอบแทนที่รัฐบาล สปป.ลาวได้เข้ามาถือหุ้นในโครงการด้วย
“บริษัทมีความพร้อมทุกด้าน มีเรื่องเดียวที่ต้องบริหารความเสี่ยงคือ การเงินต่างประเทศ ยิ่งโครงการใหญ่มาก หรือจำเป็นต้องสั่งซื่อของจากต่างประเทศมากๆ ก็มีโอกาสที่จะเกิดความผันผวนของค่าเงินหรืออัตราดอกเบี้ย ซึ่งบริษัทได้ติดตามและศึกษาในเรื่องนี้อย่างดี เพื่อปิดความเสี่ยงได้ทันเวลาหรือในจังหวะที่เหมาะสม โดยเฉพาะนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจกระทบต่อค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง บริษัทพร้อมดูแลความเสี่ยงนี้”นายปลิวกล่าว
สำหรับรายได้ในปี 2559 คาดว่าจะมีประมาณ 42,000 – 45,000 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้น 8-10 % จากในไตรมาส 3 บริษัท มีรายได้จากการก่อสร้าง 38,212 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2560 ไว้ที่ 35,000 ล้านบาท ซึ่งอาจจะมีการปรับเป้ารายได้เมื่อมีการเข้าประมูลงานอีกครั้ง ส่วนปี 2559 บริษัทรับรู้รายได้จากงานเพิ่มของโครงการไซยะบุรี ในไตรมาส2 ซึ่งเพิ่มจากปี 2558 รวม 12,450 ล้านบาท คิดเป็น 48.33% นอกจากนี้ บริษัท ยังประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในโครงการต่างๆ เช่น การส่งมอบสถานีสนามไชยที่ตกแต่งในรูปแบบสถาปัตยกรรมไทย และความสำเร็จ ในการประมูลโครงการใหม่ เช่นรถไฟฟ้าสายสีส้ม 3 สัญญา ซึ่งจะเข้ามาช่วยเพิ่มเติมงานในมือกว่าอีก 29,901 ล้านบาท ทำให้มีBacklog สูงแตะระดับแสนล้านบาท
***เจรจาสัมปทานเดินรถสีน้ำเงินใกล้จบ -พร้อมเดินรถ 1 สถานีก่อนใน 6 เดือน
นายปลิวกล่าวถึงการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง -บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ว่า ขณะนี้การเจรจากับคณะกรรมการร่วมฯ ใกล้ได้ข้อยุติแล้ว ซึ่งรัฐบาลต้องการให้การเดินรถสัญญาเดิม และส่วนต่อขยาย เป็นวงกลมต่อเนื่อง เพื่อความสะดวกของผู้โดยสารและประหยัดค่าใช้จ่ายซึ่งตกลงว่า ค่าโดยสารจะเท่าเดิม และเก็บค่าแรกเข้าเพียงครั้งเดียวที่ 15 บาท และเก็บเพิ่มสถานีละ 2 บาท สูงสุดไม่เกิน 42 บาท ซึ่งมีผลที่ทำให้รายได้ส่วนต่อขยายลดลง โดยรัฐจะต้องชดเชยส่วนต่างของรายได้ที่ลดลงให้บริษัทฯเป็นรายปี
ทั้งนี้ จำเป็นต้องรีบสั่งซื้อรถไฟฟ้า เพื่อให้สามารถเปิดเดินรถได้เร็วที่สุด และมีความเป็นไปได้ ที่จะทยอยเปิดเดินรถปีละสถานีเพื่อให้ประชาชนไม่เสียโอกาสในการใช้บริการ นอกจากนี้ ในส่วนของ 1 สถานี (บางซื่อ-เตาปูน) หากให้บริษัทดำเนินการ จะสามารถเปิดเดินรถได้ภายใน 6 เดือน
นางสาวสุภามาส ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ช.การช่าง กล่าวว่า มูลค่างานในมือที่พร้อมรับรู้รายได้มี 71,287 ล้านบาท และในปี 59 ได้รับงาน 4โครงการ มูลค่ารวม 24,145 ล้านบาท ได้แก่ งานเพิ่มของโครงการไซยะบุรี 19,400 ล้านบาท ,มอเตอร์เวย์(พัทยา-มาบตาพุด) 778 ล้านบาท ,งานปรับปรุงสถานีไฟฟ้าย่อยนาบง 2,200 ล้านบาท ,มอเตอร์เวย์ (บางปะอิน-โคราช) 1,945 ล้านบาท และมีงานที่รอลงนามสัญญาอีก เช่น ติดตั้งระบบรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย 25,000 ล้านบาท,มอเตอร์เวย์ (บางปะอิน-โคราช) สัญญา 4 มูลค่า 1,982 ล้านบาท รวมถึง รถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่ชนะประมูล 3 สัญญา วงเงินรวม4.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งประเมินว่าจะทำให้งานในมือเพิ่มเป็นกว่าแสนล้านบาท ขณะที่ บริษัทฯจะเข้าร่วมประมูลงานเพิ่ม เช่น รถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง ,รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) และสีส้ม)ตะวันตก รวมถึงงานที่เปิดให้เอกชนร่วมลงทุนแบบ PPP
นายประเสริฐ มริตตนะพร กรรมการบริหาร บมจ.ช.การช่าง กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนปี 2559 บริษัทมีรายได้รวม 38,985 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการก่อสร้าง38,212 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,660 ล้านบาท ส่วนปี 2560 ตั้งเป้ารายได้ ไว้ที่ 35,000 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้น 8-10% ขณะที่การลงทุนถือหุ้นในบริษัท BEM สัดส่วน 30.62% บริษัทน้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) 19.40% และบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด30.25% ซึ่งมีเงินปันผลรวมประมาณ 1,042 ล้านบาท เป็นรายได้อีกส่วนของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา บริษัทได้ออกหุ้นกู้วงเงิน 35,000 ล้านบาทไว้ และใช้ไปแล้วเกือบ30,000 ล้านบาท ยังเหลือวงเงินหุ้นกู้ที่สามารถออกมาเสนอขายได้อีก 5,000 ล้านบาท โดยขณะนี้ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของบริษัท อยู่ที่ 3.8 ซึ่งค่อนข้างดี และในปี 2560 จะพิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมอีกครั้ง หลังธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อตัดสินใจว่าจะออกหุ้นกู้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหลายธนาคารที่เสนอวงเงินกู้ ซึ่งบริษัทยังมีขีดความสามารถกู้ได้เพิ่มอีกกว่า 2 หมื่นล้านบาท เพราะปัจจุบันมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ 1.5 เท่า จากกรอบเป้าหมาย 3 เท่า