xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.ชี้ปรับโครงสร้างธุรกิจ ดันงบลงทุน 5 ปี สูงกว่า 1.2 ล้านล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ปตท.ลั่นปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ดึงธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกออกมาทำให้เกิดคล่องตัวในการตัดสินใจและขยายธุรกิจได้รวดเร็วกว่าเดิม ดันงบลงทุนกลุ่ม ปตท.5 ปีจะสูงกว่า 1.2 ล้านล้านบาท คาดราคาน้ำมันดิบปีหน้า 50-55 เหรียญ/บาร์เรล

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการบริษัทฯเห็นชอบปรับโครงสร้างองค์กรโดยแยกธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกออกมาอยู่ในรูปบริษัทเอกชนภายใต้ชื่อ ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (PTTOR) นั้น จะช่วยลดขั้นตอนทำให้การตัดสินใจคล่องตัวและทันเหตุการณ์ เชื่อว่าจะทำให้การขยายสถานีบริการน้ำมันและธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (นอนออยล์) เช่น ร้านกาแฟอเมซอน เติบโตอย่างรวดเร็วมากกว่าที่เป็นอยู่

ดังนั้น คงต้องมาทบทวนเป้าหมายในการขยายสถานีบริการน้ำมันและร้านกาแฟอเมซอนทั้งในและต่างประเทศใหม่ หลังมองว่ามีโอกาสที่จะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้งบการลงทุนของกลุ่ม ปตท.ในอนาคตจะปรับเพิ่มสูงขึ้นหลังจากแยกธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกออกไป แต่คงไม่มีผลต่องบการลงทุนในปี 2560 เพราะการแยกธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกจะยังต่อผ่านการความเห็นชอบจากกระทรวงพลังงาน และคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวมทั้งได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ปตท.ก่อน

ทั้งนี้ งบการลงทุนของกลุ่ม ปตท.5 ปีจะลงทุนระดับ 1.2 ล้านล้านบาทนั้น ประมาณ 50% เป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อความมั่นด้านพลังงานของไทย และ 30% เป็นการลงทุนในต่างประเทศทั้งธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและปิโตรเคมี

นายเทวินทร์กล่าวในการเปิดสัมมนา The Annual Petroleum Outlook Forum 2016 ซึ่งทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันของกลุ่ม ปตท.(PRISM) ได้ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดขึ้นเป็นปีที่ 7 วันนี้ (23 พ.ย.) ว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ระดับ 50-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปีนี้ 40-42 เหรียญสหรัฐ โดยมีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวและราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำทำให้มีการใช้มากขึ้น แต่ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบโลกในปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 6 แสนบาร์เรล/วัน หลังกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) มีแนวโน้มที่จะมีมาตรการควบคุมกำลังการผลิตมากขึ้น คาดว่าภาวะน้ำมันจะเข้าสู่จุดสมดุลในกลางปี 2560

อย่างไรก็ตาม ทิศทางราคาน้ำมันยังมีความผันผวนจากปัจจัยที่เกิดจากการตัดสินในเชิงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม นโยบายของประเทศหลักทั้งสหรัฐฯ และจีน การพัฒนาเทคโนโลยี ตลอดจนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ รถยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์การเก็บพลังงาน เป็นต้น

นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ส.อ.ท.กล่าวว่า การพัฒนาประเทศไทยเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 เพื่อให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ย่อมมีผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันในประเทศ

นายสุกฤตย์กล่าวต่อไปว่า ทางกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันฯได้เสนอต่อภาครัฐ เพื่อขอให้ปรับสัดส่วนการสำรองน้ำมันตามกฎหมายใหม่ ให้มีความเหมาะสมและสมดุลกันระหว่างการสำรองน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป จากปัจจุบันกลุ่มโรงกลั่นสำรองน้ำมันดิบ 6% ของปริมาณการใช้ และผู้ค้าน้ำมัน ม.7 สำรองน้ำมันสำเร็จรูป 1% โดยขอให้ปรับจากการสำรองน้ำมันดิบลดลงเหลือ 3.5% และปรับการสำรองน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มเป็น 3.5% ทำให้ยังคงมีปริมาณสำรองน้ำมันรวมกันระดับเดิมที่ 7% หรือราว 25 วัน
กำลังโหลดความคิดเห็น