ผู้จัดการรายวัน 360 - “แมคโดนัลด์” ลุยกลุ่มพรีเมียมครั้งแรกในไทย งัดกลยุทธ์ซิกเนเจอร์คอลเลกชันเมนู ยอมรับราคาสูงขึ้น หวังดันยอดขายรวมปีนี้เพิ่มขึ้น รับมือการแข่งขันที่รุนแรง คาดตลาดรวม QSR ปีนี้อาจโตแค่หลักเดียว
น.ส.เพชรัตน์ อุทัยสาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท แมคไทย จำกัด ผู้บริหารร้าน “แมคโดนัลด์” ในประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดร้านอาหารบริการด่วน หรือ QSR ในไทยจากยูโรมอนิเตอร์ ปี 2558 พบว่า มีมูลค่ารวม 3.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าปีนี้คงเติบโตหลักเดียวเพราะปัญหาเศรษฐกิจ แยกเป็นตลาดไก่ทอดมูลค่ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาท เติบโต 10% ตลาดพิซซ่านั่งรับประทานในร้าน มูลค่า 4.8 พันล้านบาท เติบโต 11% ตลาดพิซซ่าดีลิเวอรี 7 พันล้านบาท เติบโต 8% และตลาดเบอร์เกอร์มูลค่ากว่า 7,362 ล้านบาท เติบโต 14% โดย “แมคโดนัลด์” ยังคงเป็นผู้นำตลาดเบอร์เกอร์ด้วยส่วนแบ่งกว่า 75% และยังมีโอกาสที่จะเติบโตสูงถึงระดับ 1-2 หมื่นล้านบาทต่อปี
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะนี้การแข่งขันในตลาด QSR และเบอร์เกอร์มีสูงมาก ทั้งจากร้านอาหารที่มีเมนูเฉพาะเบอร์เกอร์ขึ้นมา และเป็นร้านเบอร์เกอร์เดี่ยวที่ไม่ใช่เป็นเชน โดยเฉพาะบรรดาฟูดทรักที่เกิดขึ้นมามากมายเป็นทางเลือกของผู้บริโภค ขณะที่เชนใหญ่ เช่น “เบอร์เกอร์คิง” ก็มีการขยายตัวค่อนข้างรวดเร็ว ทำให้แต่ละแบรนด์ต้องมีการปรับตัว
ล่าสุด “แมคโดนัลด์” เปิดตัวกลยุทธ์ “ซิกเนเจอร์ คอลเลกชัน เมนู” คือ เบอร์เกอร์หมูคุโรบูตะ 129 บาท (ทั้งชุดราคา 199 บาท) และเมนูเบอร์เกอร์เนื้อแองกัสบีฟ ราคา 139 บาท (ทั้งชุดราคา 209 บาท) ซึ่งเป็นเนื้อนำเข้าเพื่อรุกตลาดพรีเมียม และเป็นครั้งแรกที่ “แมคโดนัลด์” มีเมนูกลุ่มราคาพรีเมียม จากเดิมที่ราคาสูงสุดอยู่ที่ 150 บาท นอกจากเมนูหลักแล้วยังมีซอสสูตรพิเศษหลายสูตรและท้อปปิ้งหลากหลาย เช่น ผักกาดแก้ว มะเขือเทศ แตงกวาดอง เป็นต้น และเฟรนช์ฟรายใส่กล่องดำ เสิร์ฟบนถาดไม้ และเครื่องดื่มน้ำอัดลมแบบรีฟิลเมื่อสั่งรับประทานในร้าน หรือขนาด 22 ออนซ์เมื่อสั่งดีลิเวอรี โดยใช้เวลาพัฒนาเมนูนี้นานกว่า 2 ปี
ก่อนหน้านี้เมื่อปลายปีที่แล้ว “แมคโดนัลด์” ทดลองทำเป็นร้านป็อปอัพสโตร์ประมาณเดือนเศษที่เซ็นทรัลเวิลด์เพื่อจำหน่ายเมนูนี้ ต่อมาจึงทดลองเพิ่มอีกใน 37 สาขาในทุกโซนที่มีผู้บริโภคทุกกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ระดับไฮเอนด์ถึงแมสและทำการวิจัยไปด้วยช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา พบว่าได้ผลตอบรับดี มียอดขายเพิ่ม 10% จากเมนูซิกเนเจอร์นี้ด้วยยอดขายกว่า 5 พันชิ้น แบ่งเป็นหมูคุโรบูตะ 38% และเนื้ออังกัสบีฟ 62% ก่อนที่จะเริ่มจำหน่ายทุกสาขาจากนี้เป็นต้นไป
สำหรับสื่อที่ใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของเมนูซิกเนเจอร์นี้คือ ภาพยนต์โฆษณาทางโทรทัศน์ ความยาว 15 วินาที, วิดีโอคลิปยาว 30 วินาทีสำหรับช่องทางออนไลน์, พ็อกเก็ตทีวีซี ยาว 30 วินาที, สื่อออนไลน์เช่น เฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ไลน์ ยูทูป บล็อกเกอร์ เว็บไซต์ เป็นต้น และสื่อโฆษณารูปแบบต่างๆ ในร้าน
ส่วนแผนขยายสาขาปี 2559 ตั้งเป้าไว้ที่ 17 สาขา เปิดไปแล้ว 10 สาขา ขณะนี้มีรวม 231 สาขา และจะเปิดภายในสิ้นปีนี้อีก 7 สาขา รวมถึงสิ้นปีนี้มีครบ 238 สาขา ส่วนผลประกอบการ 10 เดือนที่ผ่านมาเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย