...ประเทศไทยกำลังประสบกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรเทคนิคและแรงงานอาชีวะที่มีคุณวุฒิในทุกอุตสาหกรรมซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังและแพร่หลาย เนื่องจากสถาบันอุดมศึกษาทั้งรัฐและเอกชนไม่สามารถตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมได้ทัน ประกอบกับอคติทางสังคมที่ให้คุณค่ากับการศึกษาเชิงวิชาการมากกว่า...
นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลงานวิจัยของ มหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ (SMU) ร่วมกับบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินระดับโลกอย่าง “เจ.พี.มอร์แกน” (J.P. Morgan) หลังจากได้เก็บข้อมูลปัญหาด้านทักษะแรงงานที่ประเทศในอาเซียนต้องประสบเป็นระยะเวลา 1 ปี ทั้งในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย
งานวิจัยดังกล่าวระบุว่า การขาดแคลนแรงงานทักษะเป็นปัญหาที่เห็นได้ชัดเจนในอุตสาหกรรมสำคัญที่กำลังเติบโตได้มากของไทย เช่น ยานยนต์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และการท่องเที่ยว ซึ่งควรได้รับการแก้ไขหากไทยต้องการเพิ่มปริมาณการผลิตและบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูงให้ได้ภายในปี 2570
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันมีนักเรียนไทยราวร้อยละ 35 สมัครเรียนในสถาบันอาชีวะ จากจำนวนนี้มีกลุ่มใหญ่ที่เมื่อจบการศึกษาแล้วกลับไม่มีทักษะเพียงพอที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน เท่ากับว่าระบบการให้ความรู้และฝึกอบรมด้านเทคนิคและอาชีวะ (TVET) ของไทยยังต้องได้รับการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางกระแสความอคติที่สังคมยังคงมีต่อการศึกษาแขนงนี้อยู่
จากงานวิจัยฉบับนี้ระบุด้วยว่า ปัญหาด้านทักษะงานนี้แย่ลงเนื่องจากหลักสูตรในสถาบันอุดมศึกษาทั้งรัฐและเอกชนไม่ตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมยานยนต์ หรือความต้องการทักษะที่เปลี่ยนแปลงตามกระแสอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
ยิ่งไปกว่านั้น แรงงานไทยยังมีศักยภาพในการสื่อสารภาษาต่างประเทศค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ภาษาอังกฤษ” ทำให้เป็นอุปสรรคของประเทศในการแข่งขันในระดับสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการจ้างงานเกือบเต็ม แต่ยังมีภาวะเร่งด่วนที่ต้องจัดการคือ ควรต้องใช้กลยุทธ์การเติบโตที่เน้นการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีให้มากขึ้นและพึ่งพาแรงงานคนให้น้อยลง เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศรายได้สูงให้ได้ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า โครงการให้ความรู้และการอบรมต้องได้รับการยกระดับให้สามารถสร้างเสริมทักษะการทำงานและการสื่อสารที่จำเป็น เช่น การใช้ภาษาอังกฤษ” อาร์นอด เด ไมเยอร์ ประธาน SMU กล่าว
งานวิจัยเสนอแนะให้ใช้แรงจูงใจเชิงนโยบายในระดับชาติ เพื่อดึงดูดผู้มีความสามารถให้เข้ามารับการอบรมในโรงเรียนเทคนิคและอาชีวะ ตลอดจนช่วยบรรเทาภาวะการขาดแคลนแรงงานทักษะซึ่งทั้งหมดนี้ต้องดำเนินควบคู่ไปกับความร่วมมือของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ในโรงเรียนต่อไป
งานวิจัยยังระบุด้วยว่า รัฐบาลควรค้นคว้าหาวิถีทางใหม่ในการจูงใจภาคเอกชนให้เข้ามาเป็นกำลังหลักในโครงการอบรมทักษะแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือกับภาครัฐโดยตรงหรือกับสถาบันการศึกษา ซึ่งจะทำให้หลักสูตรการเรียนการสอนสอดรับกับความต้องการของอุตสาหกรรมและตลาดแรงงานได้อย่างแท้จริง
ท้ายที่สุดแล้ว ความพยายามที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนทักษะข้างเคียงที่จำเป็น ตลอดจนการสื่อสารภาษาอังกฤษนั้นสามารถพัฒนาขึ้นจากเดิมได้อีก รัฐบาลสามารถสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ให้บริการทางการศึกษาภาคเอกชน เพื่อให้มาร่วมงานกับส่วนกลางและทำหน้าที่ที่สำคัญยิ่งขึ้นในการแก้ปัญหาการศึกษานี้ของประเทศ
เพื่อตอบสนองผลงานวิจัยชิ้นดังกล่าว J.P. Morgan และองค์กรวิจัยและพัฒนาแบบไม่แสวงกำไรนานาชาติอย่าง ศูนย์พัฒนาการศึกษา (EDC) จึงได้ร่วมกันเปิดตัว “โครงการเตรียมความพร้อมแรงงาน” ที่มีจุดประสงค์เพื่อลดช่องว่างด้านทักษะการทำงานลง โดยโครงการ “ขับเร่งผลสำเร็จในการทำงานและเตรียมความพร้อมการจ้างงาน 2” (AWARE2) เป็นโครงการพิเศษที่ช่วยให้เยาวชนในไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ได้เพิ่มพูนทักษะทางเทคนิคและคุณค่าที่ควรแก่การจ้างงาน ซึ่งนายจ้างกำลังต้องการท่ามกลางเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในภูมิภาค
“EDC มีเป้าหมายเพื่อพัฒนารูปแบบการศึกษาแบบใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดและจะเตรียมเยาวชนอาเซียนให้พร้อมต่อการเข้าสู่ตลาดวิชาชีพที่ต้องสานต่อไปตลอดชีวิตในเศรษฐกิจและสังคมยุคดิจิทัล” เดวิด ออฟเฟนเซนด์ ประธานและซีอีโอ EDC กล่าว
“เรารู้ว่าเทคโนโลยีจะช่วยสร้างงานใหม่ ตลอดจนแทนที่ตำแหน่งงานบางส่วนด้วยระบบอัตโนมัติ การเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนนักศึกษาในด้านทักษะการเรียนรู้ขั้นสูง เช่น ความคิดสร้างสรรค์ กระบวรการคิดสำหรับการออกแบบ และการวิเคราะห์ประยุกต์และทักษะการแก้ปัญหา ทำให้เรามั่นใจได้ว่า เยาวชนเหล่านี้จะมีศักยภาพในการปรับตัวพอที่จะรับมือและตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของอุปทานในภาคเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป”
ทั้งนี้ โครงการในไทยจะมีการร่วมมือกับคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ของหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย และผู้อำนวยการของสถาบันการอาชีวะไทย เพื่อปรับปรุงหลักสูตร โดยจะเน้นที่การพัฒนาแอปพลิเคชันและการออกแบบอัญมณี
หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร กรรมการผู้จัดการอาวุโส J.P. Morgan ประจำประเทศไทย กล่าวถึงโครงการนี้ว่า ประเทศไทยปรารถนาที่จะเป็นฐานการผลิตที่มีเทคโนโลยีและองค์ความรู้สูงของภูมิภาค และ J.P. Morgan ก็ต้องการสนับสนุนเป้าหมายนี้ด้วย แน่นอนว่าแรงงานคุณภาพสูงเป็นปัจจัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ และ J.P. Morgan ก็ช่วยเหลือโครงการเตรียมความพร้อมแรงงานอยู่ถึง 14 โครงการทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมุ่งพัฒนาในภาคส่วน รวมถึงในไทยด้วย