“ปูนซิเมนต์ไทย” ยอมรับรายได้ปีนี้พลาดเป้า ต่ำกว่าปีก่อน 3-5% แต่กำไรยังโตดีอยู่มาจากเคมีภัณฑ์เป็นหลัก ขณะที่ความต้องการใช้ปูนในประเทศหดตัวติดลบ 2-3% คาดปีหน้าบริษัทฯ จะมีผลดำเนินการโตขึ้นอีกหลังรับรู้รายได้จากโรงปูนและโรงงานแพกเกจจิ้งในต่างประเทศ
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่าในปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะยอดขายจะปรับลดลง 3-5% จากปีก่อนที่มียอดขายรวม 4.39 แสนล้านบาท ซึ่งเดิมบริษัทเคยตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 5-10% แต่ 9 เดือนแรกปีนี้บริษัทมีรายได้จากการขาย 3.23 แสนล้านบาท ลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในไตรมาส 4 นี้ ปริมาณการขายจากกลุ่มธุรกิจเคมิคอลจะลดไป 6-8 หมื่นตัน หรือคิดเป็น 3-5% ของกำลังการผลิตรวม จากการปิดซ่อมบำรุงโรงงานระยองโอเลฟินส์ (ROC) เป็นเวลา 40 วันในช่วงปลายเดือน พ.ย.นี้ และตลาดความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศที่หดตัวลง
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าปีนี้จะมีกำไรจะดีกว่าปีที่แล้ว 4.53 หมื่นล้านบาท ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด
โดยในปีนี้บริษัทฯ คาดว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศจะขยายตัวติดลบ 2-3% เนื่องจากภาวะตลาดในประเทศซบเซา ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาและปริมาณการขายปูน อีกทั้งในช่วงไตรมาส 3/2559 ปริมาณฝนเพิ่มขึ้นมากทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ ทำให้การก่อสร้างชะลอตัวลงและภาคเอกชนก็ชะลอการลงทุนลงด้วย ขณะที่โครงการลงทุนจากภาครัฐยังเดินหน้าตามปกติ ทำให้ปริมาณการใช้ปูนในประเทศปีนี้จะต่ำกว่า 40 ล้านตันอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในภูมิภาคอาเซียนยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งการลงทุนสร้างโรงปูนในพม่าขนาด 1.8 ล้านตัน/ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ และโรงปูนในลาวจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ไตรมาส 1/2560 ทำให้ปีหน้าบริษัทฯ คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานโตขึ้น เนื่องจากบริษัทมีปริมาณกำลังผลิตปูนซีเมนต์ทั้งเมียนมาและลาวเข้ามาเพิ่ม รวมทั้งโครงการขยายกำลังผลิตแพกเกจจิ้งที่เวียดนามอีก 2 แสนตัน/ปีจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2560 และทิศทางราคาปิโตรเคมียังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยบริษัทไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงงานเหมือนปีนี้ ดังนั้นปี 2560 จึงน่าจะเป็นปีที่ดี
นายรุ่งโรจน์กล่าวยอมรับว่า ในปีนี้การใช้งบการลงทุนไม่ถึงเป้าที่วางไว้ 4-5 หมื่นล้านบาท โดยช่วง 9 เดือนแรกใช้เงินลงทุนไปแล้ว 2.6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบางโครงการชะลอออกไปทำให้การใช้เงินเลื่อนไปเป็นต้นปีหน้าแทน โดยเฉพาะโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม ซึ่งเดิมคาดว่าจะได้ข้อสรุปการหาพันธมิตรร่วมทุนใหม่ในกลางปีนี้ แต่ต้องเลื่อนเป็นปลายปี 2559 แทน และจะแล้วเสร็จใน 4-5 ปีข้างหน้า ซึ่งโครงการนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนสูงกว่าที่เคยประมาณการไว้ที่ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับผลการดำเนินงานบริษัทไตรมาส 3/2559 มีรายได้จากการขาย 1.04 แสนล้านบาท ลดลง 5%จากราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ลดลงและซีเมนต์มีการปริมาณการขายและราคาลดลงเช่นกัน ทำให้กำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 1.40 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 57%
ส่วนงวด 9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้การขาย 3.23 แสนล้านบาท ลดลง 3% และมีกำไรสุทธิ 4.36 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาจากธุรกิจเคมีภัณฑ์เป็นหลัก