นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานของ เอสซีจีในไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2559 มีรายได้จากการขาย 108,874 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด 16,027 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของ ปี 2559 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 218,872 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงตามราคาแนฟทา และราคาน้ำมัน มีกำไรสำหรับงวด 29,515 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจเคมีภัณฑ์มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการส่งออกครึ่งปีแรก 59,439 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27 ของยอดขายรวม ลดลงร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ในไตรมาสที่ 2 ปี 2559 เอสซีจี มีรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน และจากการส่งออกไปยังอาเซียน 25,186 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23 ของรายได้รวม ลดลงร้อยละ 2 จากปีก่อน ทั้งนี้ เป็นรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน 13,161 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้จากการส่งออกไปยังอาเซียน 12,025 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11 ของรายได้รวม ลดลงร้อยละ 18 จากปีก่อน สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 มีรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน และจากการส่งออกไปยังอาเซียน 49,582 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23 ของรายได้รวม เท่ากับสัดส่วนของปีก่อน ทั้งนี้ เอสซีจีมีสินทรัพย์รวมในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2559 มูลค่า 121,951 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 23 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2559 มีมูลค่า 523,038 ล้านบาท ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกปี 2559 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาสที่ 2 ในปี 2559 มีรายได้จากการขาย 42,984 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากทั้งปริมาณและราคาขายที่ลดลงตามการชะลอตัวของตลาดภายในประเทศ มีกำไรสำหรับงวด 2,476 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 25 จากไตรมาสก่อน ตาม EBITDA ที่ลดลงและค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นตามโครงการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในครึ่งปีแรกของปี 2559 มีรายได้จากการขายเท่ากับ 88,864 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสภาวะตลาดในประเทศที่ยังคงซบเซา กระทบต่อการเติบโตของราคาและปริมาณขาย มีกำไรสำหรับงวด 5,766 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตาม EBITDA ที่ลดลงและค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น
เอสซีจี เคมิคอลส์ ในไตรมาสที่ 2 ในปี 2559 มีรายได้จากการขาย 49,529 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน ตามราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มีกำไรสำหรับงวด 11,232 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลจากต้นทุนราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง และเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากไตรมาสก่อน ผลจากประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น และมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น ในครึ่งปีแรกของปี 2559 มีรายได้จากการขายเท่ากับ 97,339 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากราคาเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงตามราคาแนฟทา และราคาน้ำมันที่ลดลง มีกำไรสำหรับงวด 20,212 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากต้นทุนราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง
เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ในไตรมาสที่ 2 ในปี 2559 มีรายได้จากการขาย 18,841 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 1,015 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 19 จากไตรมาสก่อน ในครึ่งปีแรกของปี 2559 มีรายได้จากการขายเท่ากับ 37,688 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นทั้งจากสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ มีกำไรสำหรับงวด 2,270 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากผลของ EBITDA ที่เพิ่มขึ้น
สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2559 เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services - HVA) 82,237 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 38 ของยอดขายรวม โดยใช้งบประมาณงานวิจัยและพัฒนากว่า 2,378 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.1 ของยอดขายรวม โดยในครึ่งปีหลัง ยังคงเดินหน้าลงทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคที่อยู่ในภูมิภาคอาเซียน
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า “สำหรับตลาดในภูมิภาคอาเซียนยังมีแนวโน้มสดใส และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเวียดนาม มีความต้องการวัสดุก่อสร้าง และบรรจุภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้น จากการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง อาทิ โครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ที่อยู่อาศัย และโรงงาน ตามการปรับตัวเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก กัมพูชามีการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อินโดนีเซียมีแนวโน้มทางเศรษฐกิจดีขึ้น โครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคของภาครัฐเริ่มทยอยดำเนินการ ในขณะเดียวกันการค้าระหว่างชายแดนไทย และประเทศเพื่อนบ้านไปได้ดี
สำหรับการลงทุนในประเทศอื่นๆ คืบหน้าตามแผน โดยโรงงานปูนซิเมนต์ในประเทศเมียนมา คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2559 และ สปป.ลาว คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในปี 2560 ทั้งนี้ เอสซีจียังคงขยายการลงทุน โดยให้ความสำคัญในการหาพันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจเดิมอยู่แล้ว เพื่อพัฒนาธุรกิจให้เจริญเติบโตร่วมกันต่อไป”
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2559 ในอัตรา 8.5 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 10,200 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 25 สิงหาคม 2559 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 8 สิงหาคม 2559 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 10 สิงหาคม 2559 และปิดสมุดทะเบียนรวบรวมรายชื่อเพื่อสิทธิรับเงินปันผลวันที่ 11 สิงหาคม