“พาณิชย์” หารือภาคเอกชนโชว์แผนผลักดัน “ไทยแลนด์ แบรนด์” เพื่อสร้างภาพลักษณ์สินค้าไทย หวังทำให้ผู้ซื้อจดจำ นึกถึงสินค้าต้องสินค้าไทย ส่วนการส่งออกกลุ่มอาหารโค้งสุดท้ายปีนี้คาดเป็นบวกได้ทุกตัว ทั้งกุ้ง ไก่ ทูน่า ผักผลไม้
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้เชิญผู้ส่งออกในกลุ่มสินค้าที่สำคัญมาหารือทั้งกลุ่มอาหาร กลุ่มยานยนต์ และกลุ่มสินค้าอัญมณี โดยได้แจ้งกับภาคเอกชนว่ากระทรวงฯ มีแผนที่จะผลักดันในเรื่องของการสร้างไทยแลนด์ แบรนด์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าไทยในสายตาชาวโลกว่าสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทยว่าเป็นสินค้าปลอดภัย สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และเป็นสินค้าที่ไม่มีสารเคมีตกค้าง ผู้ผลิตมีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมั่นต่อสินค้าไทยในอนาคต
“กระทรวงฯ มีแผนที่จะสร้างไทยแลนด์ แบรนด์ โดยจะทำให้เกิดความตระหนักต่อผู้ซื้อทั่วโลก หากอยากซื้อสินค้าก็ต้องนึกถึงสินค้าไทย เช่น ข้าว ต้องข้าวไทย อยากกินอาหาร ต้องอาหารไทย หรือสินค้าอื่นๆ ก็ต้องนึกถึงสินค้าไทย ในฐานะสินค้าดี มีคุณภาพ”
นางอภิรดีกล่าวว่า การหารือกับผู้ส่งออกสินค้าในกลุ่มอาหาร ภาคเอกชนเสนอให้กระทรวงพาณิชย์เร่งทำการประชาสัมพันธ์สินค้ากลุ่มอาหาร และมาตรฐานสินค้าในกลุ่มอาหาร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้นำเข้า และขอให้มีแผนในการรักษาตลาดเดิมเอาไว้ นอกเหนือจากการผลักดันส่งออกไปตลาดใหม่
ทั้งนี้ ภาคเอกชนคาดว่าการส่งออกในกลุ่มปลาทูน่า ผักและผลไม้ ไก่ มีแนวโน้มส่งออกขยายตัวเป็นบวก รวมถึงสินค้าประมง ที่มีแนวโน้มส่งออกได้มากขึ้น หลังจากที่ไทยได้แก้ไขปัญหาการใช้แรงงานและการทำประมงผิดกฎหมาย (ไอยูยู) อย่างเข้มงวด ส่งผลให้ผู้นำเข้ามีความเชื่อมั่นมากขึ้น โดยเฉพาะผู้นำเข้าสหรัฐฯ เช่น ห้างวอลมาร์ท มีแผนที่จะเดินทางมาไทย เพื่อตรวจสอบโรงงานและดูเรื่องการสั่งซื้อสินค้า ขณะที่กุ้ง ก็มีแนวโน้มส่งออกดีขึ้น หลังจากสามารถแก้ไขปัญหาโรคตายด่วนได้แล้ว
สำหรับการส่งออกกุ้ง คาดว่าจะส่งออกได้มูลค่า 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8% ไก่สดแปรรูปแช่เย็นแช่แข็ง มูลค่า 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.5% ทูน่ากระป๋อง มูลค่า 2,400 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 4% ผักผลไม้สด มูลค่า 1,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3%
นางอภิรดีกล่าวว่า ส่วนการหารือกับกลุ่มยานยนต์ เช่น อีซูซุ โตโยต้า มิตซูบิชิ คาดว่าการส่งออกภาพรวมปี 2559 ของกลุ่มยานยนต์จะติดลบประมาณ 1% หรือลดลงจากปี 2558 ที่มีมูลค่าส่งออก 3.13 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากการส่งออกไปตลาดตะวันออกกลางลดลงมาก เป็นผลจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ทำให้มีปัญหาเรื่องกำลังซื้อลดลง รวมทั้งการที่ตลาดตะวันออกกลางออกกฎระเบียบควบคุมด้านมลพิษทางอากาศ ทำให้ส่งผลกระทบต่อยอดการขายรถยนต์ด้วย
“มาตรการแก้ไขในส่วนของการส่งออกยานยนต์ไปตลาดตะวันออกกกลาง จะต้องหาตลาดใหม่เพื่อมาทดแทนกำลังซื้อของตลาดตะวันออกกลางที่หดตัวลง เช่น ตลาดอาเซียน ตลาดอินเดีย และตลาดออสเตรเลีย มองว่ายังขยายตัวได้ดีอยู่ และการเข้าไปขยายตลาดส่งออกยานยนต์ในตลาดกลุ่มซีไอเอสและรัสเซีย อเมริกาใต้ และเม็กซิโก”
ขณะที่การหารือกับกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ คาดว่าการส่งออกทั้งปี 2559 จะขยายตัว 5% เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่ส่งออกมูลค่า 7,187 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสาเหตุที่การส่งออกกลุ่มอัญมณียังเติบโตได้อยู่ เนื่องจากการไปเปิดตลาดใหม่เพิ่มขึ้น และช่วงเดือน พ.ย.จะมีการไปเจาะกลุ่มคนรวยในตลาดอินเดีย จีน