“เอ็กโก กรุ๊ป” เตรียมซื้อโครงการพลังงานใต้พิภพในอินโดนีเซีย ที่เชฟรอนเสนอขาย รวมทั้งวางแผนผุดโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ในพม่า และโรงไฟฟ้าที่ใช้แอลเอ็นจีป้อนนิคมฯ ทวาย
แหล่งข่าวบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ มีการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ที่บริษัทร่วมทุน คือ บริษัท สตาร์ เอนเนอร์ยี่ จีโอเทอร์มอล จำกัด จะขยายกำลังการผลิตพลังงานความร้อนใต้พิภพที่อินโดนีเซียเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว จากปัจจุบันผลิตอยู่ 227 เมกะวัตต์ และบริษัทจะจับมือกับพันธมิตรเดิมในการเข้าประมูลซื้อโครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพของกลุ่มเชฟรอนที่อินโดนีเซีย หลังจากทางเชฟรอนมีแผนจะขายหุ้นดังกล่าวออกมา เนื่องจากบริษัทมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจนี้อยู่แล้ว
ส่วนฟิลิปปินส์ก็มีโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิต เช่น โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซาน บัวนาเวนทูรา ที่เอ็กโก ถือหุ้น 49% กำลังการผลิต 500 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ 460 เมกะวัตต์ คาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 2562 เช่นเดียวกับโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินมาซินลอค ที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 500เมกะวัตต์จากปัจจุบันผลิตอยู่ 593 เมกะวัตต์
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า ส่วนประเทศพม่านั้น บริษัทฯ จะร่วมกับ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ITD) ทำโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เป็นเชื้อเพลิง ขนาดกำลังการผลิต 400 เมกะวัตต์ ขายไฟในนิคมอุตสาหกรรมทวาย โดยเบื้องต้นเฟสแรกจะลงทุน 100 เมกะวัตต์ ซึ่งทาง ITD จะเป็นผู้ลงทุนคลังแอลเอ็นจีแบบลอยน้ำ (FSRU) ในพม่าแล้วขายก๊าซฯ ให้กับโรงไฟฟ้าดังกล่าว
นอกจากนี้ยังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ขนาดกว่า 100 เมกะวัตต์ เสนอขายไฟให้กับรัฐบาลพม่า หากพบว่ามีผลตอบแทนที่ดีก็จะเจรจากับรัฐบาลพม่าต่อไป
ส่วนการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าในไทยนั้น ในปลายปีนี้จะมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังลมชัยภูมิ วินฟาร์มขนาด 90เมกะวัตต์จ่ายไฟเชิงพาณิชย์ หลังจากโรงไฟฟ้าขนอม 4 ขนาดกำลังผลิต 748 เมกะวัตต์ได้จ่ายไฟเข้าระบบไปแล้วเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา และในปีหน้าจะมีโรงไฟฟ้า SPP อีก 3 โครงการจ่ายไฟเข้าระบบด้วย
สำหรับโครงการลงทุนใหม่นั้น บริษัทฯ ยืนยันว่าจะมีการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ทดแทนโรงไฟฟ้า SPP เดิมที่จะสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในช่วงปี 2560-2568 จำนวน 4 โครงการ ในพื้นที่ใกล้เคียงโรงไฟฟ้า SPP เดิม โดยตามสัญญาใหม่จะขายไฟให้กับ กฟผ.30 เมกะวัตต์ ที่เหลือจะขายไฟให้โรงงานในนิคมฯ ที่ยังมีความต้องการใช้ไฟเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในพื้นที่บริเวณโรงไฟฟ้าถ่านหินบีแอลซีพี ยังมีเหลือพอที่ขยายกำลังการผลิตเพิ่มได้อีก 1 พันเมกะวัตต์ คาดว่าจะเสนอขายไฟดังกล่าวให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาในปีหน้า หลังจากความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี และยังมีความเสี่ยงในแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมที่จะสิ้นสุดลง 2565-2566 ถ้าไม่สามารถดำเนินการได้ทันจะมีผลต่อความมั่นคงด้านไฟฟ้า
จากแผนการขยายธุรกิจไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศดังกล่าวนี้เองทำให้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในปีนี้ 2560 จะมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 1 หมื่นล้านบาท จากปี 2557 ที่มีกำไรสุทธิ 7,666 ล้านบาท และปี 2558 มีกำไรสุทธิ 4,319 ล้านบาท