“บีกริม” เดินหน้าเอสพีพีต่อหลังมติ กพช.อนุมัติต่ออายุด้วยการรับซื้อไม่เกิน 30% หรือไม่เกิน 30 เมกะวัตต์ พร้อมเดินหน้าลงทุนเพิ่มอีก 2.4 หมื่นล้าน และเตรียมนำ “บีกริมเพาเวอร์” เข้าตลาดหุ้นปลายปีนี้ ระดมทุนขยายโรงไฟฟ้าให้ได้ 5,000 เมกะวัตต์ในอนาคต
นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม เปิดเผยว่า โรงไฟฟ้าภาคเอกชนรายเล็ก หรือเอสพีพี มีส่วนสำคัญต่อการส่งเสริมการลงทุนของประเทศในนิคมอุตสาหกรรม ช่วยสร้างความมั่นใจการลงทุน ดังนั้น มติ กพช.เรื่องต่ออายุรับซื้อไฟฟ้าเอสพีพี โดยลดการรับซื้อจาก 90 MW เหลือ 30 MW หรือไม่เกินร้อยละ 30 ของกำลังผลิตสุทธินับเป็นเรื่องที่ดีทำให้ผู้ประกอบการคุ้มทุนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าเอสพีพีใหม่ทดแทนโรงเดิม
ทั้งนี้ บริษัทจะลงทุนอีก 24,000 ล้านบาท ทดแทน 3 โรงเดิม ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร 2 โรง และนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง 1 โรง ซึ่งจะหมดสัญญาในปี 2563-2564 ในขณะเดียวกัน ยังใช้เงินลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าทั้งใน และต่างประเทศ โดยเป้าหมายต้องการมีกำลังผลิต 5,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังผลิตตามสัญญาทั้งในไทย และ สปป.ลาว 1,627 เมกะวัตต์ (28 โรงไฟฟ้า) และจะเพิ่มตามสัญญาเป็น 2,414 เมกะวัตต์ (42 โรงไฟฟ้า) ในปี 2562 โดยเตรียมจะนำบริษัทบีกริมเพาเวอร์ ระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ในปลายปี 2559
“เงินลงทุนต้องใช้วงเงินสูงมาก เช่น เอสพีพี ที่ระยอง 3 โรง อีก 18,000 ล้านบาท สร้างเอสพีพีทดแทน 3 โรงไฟฟ้าเดิม อีก 24,000 ล้านบาท ซึ่งหากรัฐบาลต้องการจูงใจนักลงทุนเข้ามาลงทุนรอบใหม่ก็น่าจะเปิดรับซื้อเอสพีพีรอบใหม่ เพราะทำให้นักลงทุนมั่นใจว่าไฟฟ้าไม่ตกไม่ดับ”
สำหรับปี 2559 บริษัทบีกริม ตั้งเป้ารายได้ไว้ประมาณ 42,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณร้อยละ 21 จากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้กว่า 35,000 ล้านบาท จาก 6 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจจัดการและโรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจด้านสุขภาพ ธุรกิจด้านคมนาคม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจไลฟ์สไตล์ โดยธุรกิจพลังงาน ยังคงเป็นธุรกิจที่เติบโตดีที่สุดของบริษัท ซึ่งปีนี้จะมีโรงไฟฟ้าที่กำลังจะจ่ายไฟฟ้าสู่เชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 3 โรง นอกจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมโคเจนเนอเรชันที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 12 โรง มีกำลังการผลิต 1,170 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 16 โรง กำลังการผลิตรวม 114 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมกังหันก๊าซ 3 โรง ซึ่งจะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่เชิงพาณิชย์ได้ในปี 2563
ส่วนร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งผ่าน ครม.แล้ว โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่ม แต่อัตราภาษีใหม่ได้สูงมาก และพร้อมเสียภาษี เพราะเป็นอัตราที่ต่ำ โดยบริษัทบีกริม มีที่ดินประมาณ 2,000 ไร่ อยู่ในพัทยา ราว 1,500 ไร่ ประกอบธุรกิจกีฬา และเกษตรกรรม ส่วนจะมีการปรับขึ้นค่าเช่าหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ