“พาณิชย์” ลงพื้นที่ จ.กาญจนบุรี พบเกษตรกรกว่า 220 คนจาก 7 จังหวัดภาคกลางตอนล่าง เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับข้อตกลง TPP ยันอนุสัญญา UPOV ไม่มีผลทำให้เมล็ดพันธุ์แพงขึ้น ไม่มีข้อกำหนดตรวจ DNA พันธุ์พืชใหม่ ด้านเกษตรกรกังวลต้นทุนปศุสัตว์ของไทย ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับเครื่องในวัวและสุกรจากสหรัฐฯ ยันพร้อมรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำข้อมูลไปประเมินความพร้อมของไทยต่อไป
นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตนได้ลงพื้นที่ จ.กาญจนบุรี พร้อมกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และกรมวิชาการเกษตร เพื่อจัดสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) และการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ภายใต้อนุสัญญา UPOV 1991 แก่เกษตรกรในภาคกลางตอนล่าง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพดของไทย โดยมีประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัด สมาชิกสภาเกษตรกร เครือข่ายเกษตรกรตำบล ภาควิชาการและภาคประชาสังคม จาก 7 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี เพชรบุรี นครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร กว่า 220 คนเข้าร่วม
การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้รับทราบข้อเสนอจากภาคเกษตรที่ต้องการให้ภาครัฐดำเนินการ ได้แก่ ขอให้ภาครัฐซึ่งมีนักวิชาการจำนวนมากทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยเมล็ดพันธุ์ให้มีคุณภาพดี เหมาะสมกับสภาพอากาศ เนื่องจากปัจจุบันมีภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะภัยแล้ง เพื่อเพิ่มผลผลิตและมีราคาถูก เพื่อลดต้นทุนของเกษตรกร และให้สามารถแข่งขันกับภาคเอกชนได้ ให้ความรู้แก่เกษตรกรในการจดสิทธิบัตรคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ส่งเสริมให้มีการวิจัยเพื่อให้มีเกษตรทางเลือกมากขึ้น ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อใช้ในการสูบน้ำบาดาล ส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ออแกนิก
ส่วนข้อกังวลของเกษตรกรต่อประเด็นที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ภายใต้อนุสัญญา UPOV 1991 ได้มีการชี้แจงเรื่องต้นทุนเมล็ดพันธุ์มีราคาสูง โดยปัจจุบันภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนเมล็ดพันธุ์หรือพันธุ์พืชที่มีคุณภาพดีและราคาถูกเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่เกษตรกร
สำหรับเรื่องการตรวจสอบพันธุ์พืชใหม่โดยตรวจ DNA นั้น เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะความจริงแล้วอนุสัญญา UPOV 1991 ไม่มีข้อกำหนดดังกล่าว แต่ให้เปรียบเทียบความใหม่ ซึ่งต้องมีลักษณะที่แตกต่างจากพันธุ์พืชเดิม และในส่วนของการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจากต่างประเทศในภาคเกษตรโดยไม่มีการควบคุมอย่างเหมาะสม ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรที่มีสารดังกล่าวตกค้าง จึงได้แนะนำให้เกษตรกรหันมาทำการเกษตรอินทรีย์ตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งส่งเสริมสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าสู่ตลาดโลก
นอกจากนี้ เกษตรกรยังมีข้อห่วงกังวลในเรื่องการเสียเปรียบด้านความสามารถทางการแข่งขันของเกษตรกรรายย่อยโดยเฉพาะปศุสัตว์ที่มีต้นทุนสูง ไม่สามารถแข่งขันด้านราคา และการทุ่มตลาดของเครื่องในวัวและสุกรจากสหรัฐฯ จึงเป็นเรื่องที่ภาครัฐจะต้องเข้าไปช่วยเหลือพัฒนาให้เข้มแข็งและสามารถแข่งขันได้ต่อไป ซึ่งภาคเกษตรขอให้วิเคราะห์ประโยชน์และผลกระทบอย่างรอบด้าน และให้จัดเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องด้วย
“กระทรวงพาณิชย์ยินดีรับฟังความเห็นและข้อห่วงกังวลของเกษตรกรและภาคประชาสังคม โดยจะพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้านบนพื้นฐานของข้อเท็จจริงตามที่เกษตรกรนำเสนอประกอบกับข้อมูลเชิงวิชาการ เพื่อประเมินความพร้อมและแนวทางที่เหมาะสมของไทย และพร้อมทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและทุกภาคส่วน โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเกษตรกรในการแสดงความคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่อการดำเนินงานของภาครัฐ เพื่อพัฒนาและยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของภาคการเกษตรของไทยต่อไป” นายวินิจฉัยกล่าว