“พาณิชย์” ลงพื้นที่พบเกษตรกร 9 จังหวัดภาคใต้กว่า 290 คน ให้ความรู้เรื่อง TPP ยืนยันอนุสัญญา UPOV ไม่ทำให้ราคาเมล็ดพันธุ์พืชแพงขึ้น สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้ฤดูกาลถัดไปได้ ด้านการแบ่งปันผลประโยชน์ ไทยมี พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชดูแลอยู่ ส่วนพืช GMOs ห้ามนำเข้าอยู่แล้ว เตรียมพบเกษตรกรพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างที่สงขลาอีกเดือน ก.ค.นี้
นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ลงพื้นที่พร้อมกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และกรมวิชาการเกษตร เพื่อให้ความรู้แก่เกษตรกรภาคใต้ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตยางพารา ปาล์มน้ำมัน และผลไม้ที่สำคัญของประเทศไทย โดยมีประธานสภาเกษตรกรจังหวัด ผู้แทนสภาเกษตรกร เครือข่ายเกษตรกรตำบล และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จาก 9 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ และตรัง ประมาณ 290 คน เข้าร่วม ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ได้รับทราบข้อเสนอจากภาคเกษตรที่ต้องการให้ภาครัฐดำเนินการ เช่น การให้ความรู้แก่เกษตรกรในเรื่องการจดสิทธิคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ให้มีคุณภาพดี เทคนิคการเก็บเมล็ดพันธุ์เพื่อปลูกต่อในฤดูกาลถัดไป การบริหารจัดการเรื่องปัจจัยการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ของภาคเกษตร ทั้งในเรื่องเมล็ดพันธุ์ดี ราคาปุ๋ยถูก และยากำจัดศัตรูพืช ตลอดจนการส่งเสริมการส่งออกมังคุดไปยังต่างประเทศ และยังขอให้ภาครัฐมีกลไกการดำเนินงานเรื่องยางพารา เพื่อให้เกษตรกรได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น
ทั้งนี้ ในด้านการลดต้นทุนการผลิต กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แจ้งว่า ได้ดำเนินโครงการประชารัฐ โดยร่วมมือกับผู้ประกอบการและเกษตรกร ทำให้เกษตรกรสามารถซื้อปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพดีจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้ในราคาถูกแล้ว
นายวินิจฉัยกล่าวว่า ในเรื่องการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ภายใต้อนุสัญญา UPOV 1991 กระทรวงฯ ได้สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งได้คลายข้อกังวลให้แก่เกษตรกรอย่างมาก คือ เรื่องราคาเมล็ดพันธุ์แพง เพราะในความเป็นจริงกลไกการตลาดของธุรกิจเมล็ดพันธุ์จะขึ้นอยู่กับคุณภาพและความต้องการของผู้บริโภค และภาครัฐได้จัดตั้งศูนย์เมล็ดพันธุ์เพื่อแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีราคาถูกให้เกษตรกรแล้ว
สำหรับเรื่องการเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้ในฤดูกาลถัดไป เกษตรกรยังคงสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ได้ หากนำไปใช้เพื่อการต่อยอดการปรับปรุงพันธุ์ เพื่อศึกษาวิจัย เพื่อปลูกในพื้นที่ของตนเอง โดยไม่มีจุดประสงค์ทางการค้า และกระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายชัดเจนว่าจะต้องไม่ทำลายวัฒนธรรมการทำเกษตรของเกษตรกร ดังนั้น มั่นใจได้ว่าเกษตรกรยังคงเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้ในฤดูกาลถัดไปได้
ส่วนประเด็นการแบ่งปันผลประโยชน์ ประเทศสมาชิกยังสามารถกำหนดให้มีการแบ่งปันผลประโยชน์ในการคุ้มครองพันธุ์พืชได้ภายใต้กฎหมายของตนเอง ซึ่งของไทย คือ พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 ที่มีหลักการแบ่งปันผลประโยชน์ให้เกษตรกรอยู่แล้ว และเรื่องพืช GMOs ไทยไม่อนุญาตให้มีการนำเข้าพืช GMOs ภายใต้ พ.ร.บ. กักพืช พ.ศ. 2507 อยู่แล้ว และความตกลง TPP เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเท่านั้น
“ภาครัฐกำลังเร่งดำเนินการให้ความรู้แก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเร่งสร้างความเข้มแข็งด้านการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์พืช (R&D) โดยจะร่วมมือกับสถาบันการศึกษาพัฒนาปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่ที่มีคุณภาพสูง สามารถแข่งขันกับเอกชนได้ ให้เกษตรกรได้ใช้อย่างต่อเนื่อง ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์พืชให้แก่เกษตรกร นำพันธุ์พืชใหม่ที่ปรับปรุงพันธุ์ได้เข้าสู่ระบบจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ทั้งหมด และเพิ่มศักยภาพหน่วยงานที่กำกับดูแล ทั้งด้านบุคลากร และเทคโนโลยีให้ได้มาตรฐานเท่าเทียมหรือสูงกว่าประเทศคู่แข่ง” นายวินิจฉัยกล่าว
อย่างไรก็ตาม กระทรวงฯ มีความยินดีที่จะทำงานร่วมกับสภาเกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง และพร้อมที่จะรับทราบข้อมูลของทุกส่วนเพื่อประโยชน์ต่อการประเมินแนวทางของไทย และจะมีการลงพื้นที่พบเกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ณ จังหวัดสงขลา อีกครั้งในเดือน ก.ค. 2559