เปิดวิสัยทัศน์ “รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส” ซีอีโอปูนซิเมนต์ไทยคนใหม่ ยันคงกลยุทธ์หลักที่เน้นตลาดอาเซียนและ R&D เพื่อสร้างสินค้ามูลค่าเพิ่ม ภายใต้การตัดสินใจที่รวดเร็วและคล่องตัว หวังดันยอดขายให้เติบโตสูงกว่าหรือเท่ากับการขยายตัวของตลาดอาเซียน เผยเข้าไปศึกษาโอกาสลงทุนในจีนตอนใต้หลังเห็นศักยภาพดี
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดวิสัยทัศน์อย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งซีอีโอ ว่ายังคงกลยุทธ์ (Strategy) หลักใน 2 เรื่อง คือ 1. เน้นตลาดอาเซียนและขยายฐานธุรกิจเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าการแข่งขันจะทวีความรุนแรง โดยบริษัทฯ ได้ตั้งงบลงทุนในอาเซียนไว้ปีละ 5 หมื่นล้านบาท ไม่รวมงบสำหรับการซื้อกิจการ (M&A) และมุ่งเรื่องการวิจัย และพัฒนา (R&D) เพื่อยกระดับการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA) โดยปีนี้วางงบ R&Dไว้ที่ 1% ของยอดขายหรือประมาณ 4 พันกว่าล้านบาท เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำตลาดมากยิ่งขึ้น
โดยยอมรับว่าในช่วง 4-5 ปีนี้ ตลาดอาเซียนมีการแข่งขันที่รุนแรงเพิ่มขึ้นจากการเข้ามารุกตลาดของบริษัทข้ามชาตินับเป็นสิ่งที่ท้าทาย ดังนั้น การตัดสินใจที่รวดเร็วและคล่องตัวทันให้ต่อสภาวะตลาดเป็นสิ่งจำเป็นในภาวะการแข่งขันสูง โดยบริษัทฯ จะอาศัยความชำนาญและโอกาสในการทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านทั้ง ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม ที่บริษัทมีฐานการผลิตอยู่แล้วให้เติบโตมากกว่านี้ รวมทั้งเข้าไปศึกษาโอกาสการลงทุนในจีนตอนใต้ด้วย ซึ่งเดิมโฟกัสเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียนเท่านั้น หลังจากมีการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนถึงจีนตอนใต้
ปัจจุบันประชากรในจีนตอนใต้สูงถึง 60-80 ล้านคน มีอุตสาหกรรมเบาพอสมควร จึงเป็นโอกาสในการขายสินค้าในช่วงแรกก่อนตัดสินใจเข้าไปลงทุนในอนาคต
นายรุ่งโรจน์กล่าวต่อไปว่า ภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าวทำให้บริษัทฯ มียอดขายเติบโตได้เท่ากับหรือสูงกว่าการขยายตัวของตลาดอาเซียนที่เฉลี่ยปีละ 5% โดยปีที่แล้ว บริษัทมียอดขายในแง่ Volume เติบโตเพียง 3-5% เพื่อไม่ให้ธุรกิจได้รับผลกระทบจากช่วงวัฏจักรขาลงของธุรกิจปิโตรเคมีในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งปัจจุบันกำไรส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากธุรกิจปิโตรเคมี
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากฐานการผลิตในอาเซียนคิดเป็น 12% ของยอดขาย ขณะที่เศรษฐกิจไทยคิดเป็น 20% ของอาเซียน ดังนั้นมีโอกาสตลาดอาเซียนจะเติบโตได้อีกมาก
สำหรับการลงทุนเพิ่มเติมในอาเซียนนั้น บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะเข้าไปซื้อกิจการหรือร่วมลงทุน (M&A) ธุรกิจซีเมนต์ในประเทศเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันเวียดนามมีกำลังการผลิตปูนอยู่ 80 ล้านตัน แต่ความต้องการใช้อยู่ที่ 60 ล้านตัน/ปี ซึ่งเกินความต้องการอยู่ หลังจากก่อนหน้านี้ได้เข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซีย พม่า ลาว และกัมพูชา เนื่องจากกลุ่มประเทศอาเซียนให้ความสนใจลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการเจราหาพันธมิตรร่วมทุนใหม่เข้ามาแทนบริษัท กาตาร์ ปิโตรเลียมที่ถอนตัวในการลงทุนโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม คาดว่าจะมีความชัดเจนในกลางปีนี้ โดยยอมรับว่าโครงการนี้คงต้องล่าช้าออกไปอีก แต่คาดหวังว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในต้นปีหน้า