“รุ่งโรจน์” ซีอีโอ SCC คนใหม่ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 5-10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 4.39 แสนล้านบาท เหตุรับรู้รายได้จากโรงปูนใหม่ 3 แห่งในอาเซียน ลุ้นยอดใช้ปูนปีนี้โตขึ้นจากโครงการเมกะโปรเจกต์ภาครัฐ ส่วนโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ที่เวียดนาม คาด 6 เดือนสรุปพันธมิตรใหม่ก่อนเดินหน้าโครงการ
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการขายโตขึ้น 5-10%จากปีก่อนที่มีรายได้ 4.39 แสนล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้จากโรงปูนซีเมนต์แห่งใหม่ที่เดินเครื่องจักรเต็มปีทั้งที่อินโดนีเซีย กำลังผลิต 1.8 ล้านตัน/ปีและโรงปูนแห่ง 2 ที่กัมพูชา อีก 0.9 ล้านตัน ส่วนโรงปูนฯ ในพม่า กำลังผลิต 1.8 ล้านตันคาดว่าจะเดินเครื่องได้ในกลางปีนี้
ขณะที่โรงงานปูนซีเมนต์ใน สปป.ลาว กำลังผลิต 1.8 ล้านตัน/ปี คาดว่าจะเดินเครื่องจักรได้ในปี 2560 โดยกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวนี้คาดว่าจะทำให้รายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในอาเซียนโตขึ้น 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 4.71 หมื่นล้านบาท
ผลการดำเนินงานงวดปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 4.39 แสนล้านบาท ลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 4.54 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจเคมีภัณฑ์แม้ว่าราคาจะปรับตัวลดลงตามทิศทางราคาน้ำมัน แต่ต้นทุนวัตถุดิบก็ปรับตัวลงตามไปด้วย ทำให้บริษัทรับรู้กำไรจากธุรกิจเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างมีผลการดำเนินงานที่ลดลง และมีรายได้จากการส่งออก1.27 แสนล้านบาท ลดลง 11% จากปีก่อน
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2558 ในอัตราหุ้นละ 16 บาท คิดเป็นสัดส่วน 42% ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วที่อัตราหุ้นละ 7.50 บาท และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 8.50 บาทในวันที่ 28 เม.ย. 2559
นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ดบริษัทฯ ได้อนุมัติให้เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง บริษัทย่อย SCC ซื้อหุ้นแบบมีเงื่อนไขอีก 15% ในบริษัท Prime Group ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตกระเบื้องเซรามิกใหญ่ที่สุดในเวียดนาม คิดเป็นมูลค่ารวม 2.19 พันล้านบาท ส่งผลให้เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างถือหุ้นใน Prime Group ทั้งหมด 100%
นายรุ่งโรจน์กล่าวถึงความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในปีนี้ว่า แนวโน้มการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะดีขึ้นจากโครงการลงทุนเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐที่จะมีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นความเชื่อมั่นต่อผู้ประกอบการทำให้มีการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ ส่วนความเสี่ยงคือการชะลอตัวจากเศรษฐกิจจีนที่มีผลต่อการแข่งขันตลาดโลกและความต้องการใช้สินค้าหลักๆ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯส่งออกสินค้าไปจีนคิดเป็นสัดส่วน 20% รวมทั้งปัญหาภัยแล้งในประเทศ ซึ่งหวังว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในไทยเติบโตขึ้นจากปีก่อนที่ยอดการใช้ปูนซีเมนต์เติบโต 0% ขณะที่ไตรมาส 4/58 ความต้องการใช้ปูนโตขึ้น 2%
ส่วนราคาน้ำมันนับตั้งแต่ต้นปี 2559 พบว่าปรับตัวลดลงไปแล้ว 10% ส่งผลให้แนวโน้มธุรกิจเคมีภัณฑ์ผันผวนตามไปด้วย ล่าสุดส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พลาสติก PE กับวัตถุดิบ คือ แนฟทา (สเปรด) อยู่ที่ตันละ 600 กว่าเหรียญสหรัฐ/ตัน ต่ำกว่าปลายปี2558 ที่มีสเปรดอยู่ 700 กว่าเหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนสเปรดเม็ดพลาสติก PP ก็อ่อนตัวลงเช่นกันอยู่ที่ 500 กว่าเหรียญสหรัฐ/ตัน
นายรุ่งโรจน์กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ที่ประเทศเวียดนาม ภายหลังจากพันธมิตรร่วมทุน คือ กาตาร์ ปิโตรเลียม (QPIV) ถอนตัวจากการลงทุนว่า ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรหลายรายที่จะเข้ามาแทนกาตาร์ คาดว่าจะมีความชัดเจนใน 6 เดือนข้างหน้านี้ หลังจากนั้นก็จะเดินหน้าโครงการต่อไป
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้แจ้งไปยังผู้รับเหมาก่อสร้างเพื่อขอยืดเวลาการประมูลโครงการก่อสร้างโครงการดังกล่าวออกไปก่อน 6 เดือน ทั้งนี้โครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เดิมโครงสร้างการถือหุ้น ประกอบด้วย บริษัทในเครือSCC 46% ปิโตรเวียดนาม 29% และ QPIV 25%
นายรุ่งโรจน์กล่าวต่อไปว่า ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ SCC ยังคงสานต่อนโยบายที่ให้ความสำคัญในตลาดอาเซียน โดยยังมีการลงทุนและทำตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากอาเซียนเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงอันดับต้นๆ ของโลก รวมทั้งจะให้ความสำคัญการวิจัยและพัฒนาเพิ่มมากขึ้นเพื่อผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมและมีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ในอาเซียนเพื่อรองรับความต้องการใช้ในแต่ละประเทศ โดยจะทำให้เข้มแข็งและรวดเร็วขึ้น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานเพื่อลดต้นทุนการผลิตลง