ปตท.สผ.เร่งศึกษาธุรกิจใหม่ทั้งพลังงานทดแทน Shale Oil/Shale Gas ในปีนี้ จี้รัฐสรุปความชัดเจนโครงการบงกชที่จะสิ้นสุดสัญญาใน 4-5 ปีข้างหน้าหวั่นกระทบปริมาณการผลิต ยันบริษัทมีความพร้อมในการร่วมประมูลหรือเจรจาโดยตรง
นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนธุรกิจใหม่ภายใต้แผนกลยุทธ์ 3 R เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน เช่น พลังงานทดแทน ทั้งแร่ธาตุ พลังงานลม แสงแดด แบตเตอรี่ เป็นต้น รวมทั้งการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติและน้ำมันกักเก็บในชั้นหินดินดาน (Shale Oil/Shale Gas) ในแถบอเมริกาเหนือคาดว่าจะมีความชัดเจนในปีนี้ แม้ว่าธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) จะยังเป็นธุรกิจหลักของบริษัท แต่ใน 10-20 ปีราคาน้ำมันดิบคงไม่ถึง 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมกับ ปตท.ในการทำธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มากขึ้น เพราะตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP 2015) คาดการณ์ว่าไทยต้องนำเข้า LNG ทั้งสิ้น 22 ล้านตันในปี 2579 จึงน่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปลงทุนในแหล่ง LNG ที่ ปตท.จะทำสัญญาซื้อก๊าซฯ ระยะยาว โดยมองว่าราคา LNG จะกลับสู่ภาวะสมดุลและเป็นตลาดของผู้ขายอีกครั้งในช่วงปี 2563 จากปัจจุบันเป็นตลาดของผู้ซื้อ ซึ่งราคา LNG ที่ตลาดเฮนรี ฮับ อยู่ระดับ 2 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู
นายสมพรกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการโมซัมบิก โรวูมา ออฟชอร์ แอเรีย วัน ที่ ปตท.สผ.ถือหุ้น 8.5% ว่า โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างทำรายละเอียดข้อตกลงกับทางภาครัฐก่อนที่จะประกาศการลงทุนตามแผนในปลายปีนี้ คาดเริ่มผลิตได้ในปี 2563-2564
สำหรับความคืบหน้าโครงการบงกชในอ่าวไทยซึ่งสัญญาซื้อขายจะสิ้นสุดลงในปี 4-5 ปีข้างหน้า ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากภาครัฐว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรเพื่อวางแผนลงทุนสร้างความต่อเนื่องในการผลิต ซึ่ง ปตท.สผ.มีความพร้อมไม่ว่าจะเปิดประมูลหรือเจรจาโดยตรง เพราะการเปลี่ยนแปลงผู้ดำเนินการ (โอเปอเรเตอร์) ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยหวังว่ารัฐจะมีความชัดเจนในปีนี้ มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่อการผลิตในอนาคต เพราะถ้ายิ่งล่าช้าจะกระทบระดับการผลิต ปัจจุบันแหล่งบงกชมีการผลิตก๊าซฯ 900 ล้านลบ.ฟุต/วัน คิดเป็น 20% ของปริมาณความต้องการใช้ก๊าซฯ ในประเทศ ที่ 4.5-5 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน