“พีทีที โกลบอล” ตั้งเป้าปีนี้มีกำไรไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่ 2หมื่นล้านบาท หลังวางแผนเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายอย่างมีนัย เพื่อรับมือราคาน้ำมันผันผวน ยันบริษัทฯ มีเงินสดในมือเพียบ 4.8 หมื่นล้านบาท เพียงพอที่จะซื้อบริษัทลูกของ ปตท.ที่จะขายออกมา พร้อมกับเร่งเดินหน้าโครงการมาบตาพุด เรโทรฟิท คาดได้ข้อสรุปในไตรมาส 3 นี้
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯจะเน้นเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งเพิ่มรายได้จากการขายมากขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันค่อนข้างผันผวนตั้งแต่ต้นปี 2559 ส่งผลให้ธุรกิจโอเลฟินส์ได้รับผลกระทบบ้าง โดยราคาเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (PE) ได้อ่อนตัวลงมา ขณะที่ธุรกิจการกลั่นและโรงอะโรเมติกส์ในปีนี้คาดว่าจะยังพอไปได้ ทำให้มั่นใจว่าปีนี้บริษัทจะรักษาระดับกำไรไม่ให้ต่ำกว่าปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 2.05 หมื่นล้านบาท
แม้ว่าปีนี้บริษัทฯ มีแผนหยุดซ่อมบำรุงโรงเอทิลีน แครกเกอร์ 1ล้านตันในช่วงปลาย ก.พ.นี้เป็นเวลา 1 เดือนและปิดซ่อมโรงกลั่นน้ำมันเป็นเวลา 2 เดือนในช่วง พ.ค.-มิ.ย. 59
โดยปีที่แล้วบริษัทฯ ลดค่าใช้จ่ายลงไปได้ถึง 400 ล้านบาท รวมทั้งมีกำไรจากการบริหารความเสี่ยงหรือประกันความเสี่ยงล่วงหน้า ได้กำไรมา 2.6 พันล้านบาท ช่วยลดผลกระทบจากการขาดทุนสต๊อกน้ำมันที่ระดับ 3.6 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในปีนี้จะอยู่ระดับ 30-40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จึงไม่น่ามีการบันทึกการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันเหมือนในปีที่แล้ว
นายสุพัฒนพงษ์กล่าวต่อไปว่า ส่วนการลงทุนโครงการมาบตาพุด เรโทรฟิทนั้น บริษัทฯ มีแผนที่จะสร้างโรงงานแนฟทาแครกเกอร์ขนาด 1.5 ล้านตัน/ปี ทำให้ได้เอทิลีน 5 แสนตัน/ปี และโพรพิลีน 2.61 แสนตัน/ปี พร้อมทั้งได้บิวทาไดอีน (C4) มาต่อยอดผลิตภัณฑ์สร้างมูลค่าเพิ่มด้วย โดยโครงการมาบตาพุดเรโทรฟิทนี้จะใช้แนฟทาทของบริษัทที่เดิมเคยส่งออกและจำหน่ายให้กับกลุ่มเอสซีจีมาเป็นวัตถุดิบ คาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จและรู้เม็ดเงินลงทุนแน่นอนในไตรมาส 3/59 ส่วนการลงทุนต่อยอด C4 ขณะนี้บริษัทได้มีการเจรจากับพันธมิตรที่มีเทคโนโลยีเพื่อร่วมทุนตั้งโรงงานในไทย เน้นเจาะตลาดยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้
ส่วนโครงการปิโตรเคมีคอล คอมเพล็กซ์ ที่สหรัฐฯ ซึ่งใช้วัตถุดิบจาก Shale Gas ตั้งโรงงานโอเลฟินส์ขนาด 1 ล้านตัน/ปีนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดโครงการ รวมทั้งดำเนินการออกแบบ และเจรจากับพันธมิตรที่มีศักยภาพการตลาด คาดว่าจะมีความชัดเจนในปลายปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายการลงทุนในตลาดอินโดนีเซีย และกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) ซึ่งเป็นตลาดที่ยังต้องนำเข้าเม็ดพลาสติกจำนวนมาก
สำหรับโครงการ PO/Polyols ขณะนี้บริษัทได้ร่วมกับพันธมิตรญี่ปุ่นศึกษาความเป็นไปได้โครงการ รวมทั้งดูตลาดส่งออกคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้ หากพบว่าโครงการมีความเป็นได้ ก็จะเริ่มก่อสร้างได้ในต้นปีหน้า ส่วนโครงการลงทุนปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่อินโดนีเซีย และโครงการผลิต PLA นั้นคงต้องเลื่อนออกไป
นางดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกรณีที่ ปตท.จะมีการจัดโครงสร้างองค์กรให้เกิดความคล่องตัวโดยจะขายบริษัทลูกที่ ปตท.เคยถือหุ้นออกไปให้กับ PTTGC หรือ บมจ.ไทยออยล์ ในฐานะบริษัท Flagship ด้านปิโตรเคมี และการกลั่นนั้นว่า บริษัทมีความเข้มแข็งด้านฐานะการเงิน โดยมีกระแสเงินสดในมืออยู่ 4.8 หมื่นล้านบาท โดย 5 ปีนี้ (2559-2563) จะมีรายได้จาการดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 6.1 พันล้านนบาท หักเงินลงทุนในโครงการต่างๆ ที่แน่นอนแล้ว 1.5 พันล้านบาท การจ่ายคืนหนี้ ดอกเบี้ยและปันผลรวม ทำให้มีเงินจากการดำเนินงานเหลืออยู่ 1.6-1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพียงพอที่จะซื้อบริษัทลูกจาก ปตท.ได้
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ยื่นขอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐใน 5 ปีนี้เพื่อนำไปใช้คืนหนี้และใช้ลงทุน นางดวงกมลกล่าวว่า บริษัทมีหนี้ที่ต้องชำระใน 5 ปีนี้รวม 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยในปีนี้บริษัทมีหนี้ที่ครบกำหนดชำระประมาณ 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะออกหุ้นกู้ในวงเงินดังกล่าวเพื่อคืนหนี้