xs
xsm
sm
md
lg

IRPC ตั้งเป้ากำไรโตกว่าปี 58 จากโครงการ UHV-EVEREST

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ไออาร์พีซี” ตั้งเป้าปีนี้มีกำไรสูงกว่าปีก่อน แม้จะปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่อีก 1 เดือน เนื่องจากโครงการ UHV แล้วเสร็จในไตรมาสนี้ และรับรู้กำไรจากโครงการ EVEREST พร้อมเร่งโครงการขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีนอีก 3 แสนตันดันมาร์จินเพิ่มขึ้น ลั่นใน 2 ปีนี้จะไม่มีการลงทุนโครงการใหม่เพิ่มเติมแต่จะเน้นนำกำไรใช้หนี้และจ่ายปันผล

นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานสัมมนาเจาะหุ้นปิโตรเคมีแบบ Exclusive ภายใต้หัวข้อ “ความรู้การลงทุนธุรกิจปิโตรเคมี” ว่า ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายกำไรจะไม่น้อยกว่าปี 2558 แม้จะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานใหญ่เป็นเวลา 30 วันในช่วงเดือน พ.ย.- ธ.ค. 2559 ทำให้มาร์จินลดลง 1-2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่มีปัจจัยบวกจากโครงการปรับปรุงคุณภาพการผลิตสู่ผลิตภัณฑ์สะอาด (UHV) มูลค่าเงินลงทุน 3.4 หมื่นล้านบาทที่แล้วเสร็จในไตรมาสแรกปีนี้ ทำให้การกลั่นรวมเฉลี่ย (GIM) เพิ่มขึ้น 1-2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากโครงการนี้จะได้แนฟทาและน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 11% ขณะที่น้ำมันเตาจะลดลงจาก 23% เหลือเพียง 8% และมีโพรพิลีนเพิ่มขึ้น 6% จากปัจจุบันผลิตได้น้อยมาก

นอกจากนี้ โครงการเอเวอเรสต์ (EVEREST) โครงการที่เพิ่มขีดความสามารถขององค์กรในทุกด้านต่อเนื่องจากโครงการเดลต้าที่สิ้นสุดลง ซึ่งบริษัทฯ ได้ร่วมทำงานกับบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลกดำเนินการอยู่คาดว่าจะช่วยเพิ่มกำไรในปีนี้ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และในปีถัดไปคาดว่าจะทำกำไรให้บริษัทได้เพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านเหรียญสหรัฐ กอปรกับราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าคาดการณ์เดิม ทำให้ GIM ในปีนี้สูงกว่าปีที่แล้วซึ่งเฉลี่ยอยู่ราว 13 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

นายสกฤตย์กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ราคาโพรพิลีนมีมาร์จินแคบลงเป็นผลจากจีนมีการนำเข้าโพรเพนจาก Shale Gas ที่สหรัฐฯ มาผลิตโพรพิลีนเพิ่มมากขึ้น ทำให้ราคาอ่อนตัวลงมากคาดว่าจะต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทำให้บริษัทฯ เร่งโครงการขยายกำลังผลิตโพลีโพรพิลีนเพิ่มขึ้นอีก 3 แสนตัน/ปี รวมเป็น 7.75 แสนตันที่ใช้โพรพิลีนเป็นวัตถุดิบ คาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปี 2560 ซึ่งเม็ดพลาสติกโพลีโพรพิลีนยังมีราคาและมาร์จินที่ดีกว่าโพรพิลีน

“ราคาโพรไพลีนซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของโครงการ UHV มีราคาตกต่ำและจะตกต่ำอีก 2-3 ปี แต่แนฟทาและน้ำมันเบนซินพบว่ามีสเปรดที่ดี ทำให้ค่าการกลั่นสูงขึ้นทดแทนผลกระทบจากมาร์จินของโพรพิลีนที่แคบลง โดยค่าการกลั่นน้ำมันเบนซินขณะนี้ดีมากและคาดว่าจะดีต่อเนื่องอีก 2-3 ปี เพราะราคาน้ำมันที่ลดลงทำให้ประชาชนเดินทางมากขึ้น ขณะที่กำลังการกลั่นน้ำมันจากโรงกลั่นใหม่จะไม่มีเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ ทำให้มาร์จินของน้ำมันเบนซินซึ่งเดิมอยู่ที่ 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มเป็นกว่า 20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2559 จะดีกว่าไตรมาสก่อนอย่างแน่นอน เนื่องจากทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ยังต้องจับตาราคาน้ำมันว่าจะลดลงอีกหรือไม่ เพราะจะมีผลทำให้ขาดทุนสต๊อกน้ำมันอีกหรือไม่ ส่วนผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 /2558 ยังคงมีกำไรแม้จะขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันในไตรมาสดังกล่าวถึง 2
พันล้านบาทจากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงมาปิดสิ้นปีอยู่ที่ระดับ 31.65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลก็ตาม

นายสุกฤตย์กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯกำหนดงบลงทุนใน 5 ปีนี้ อยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท โดยในปีนี้จะใช้เงินลงทุนอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ในโครงการ UHV และโครงการขยายกำลังการผลิตโพลิโพรพิลีนอีก 3 แสนตัน/ปี หลังจากนั้นบริษัทจะไม่มีแผนการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในช่วง 2 ปีนี้แต่จะเน้นนำกำไรจากการดำเนินงานมาชำระคืนหนี้เงินกู้เพื่อเพิ่มเครดิตเรตติ้งของบริษัทฯ และหากมีเงินเหลือก็จ่ายปันผล

นอกจากนี้ ไออาร์พีซีกำลังเจรจากับบริษัท นิปปอน เอแอนด์แอล ผู้ร่วมลงทุนในบริษัท ไออาร์พีซี เอแอนด์แอล เพื่อผลิตพลาสติกเอบีเอส โดยนิปปอน เอแอนด์แอลต้องการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 5 แสนตันต่อปี เพิ่มอีก 1 เท่าตัวภายใน 5 ปี เพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมรถยนต์ในภูมิภาคอาเซียนแทนที่จะนำเม็ดพลาสติกเอบีเอสจากญี่ปุ่นที่มีต้นทุนสูงมาจำหน่าย โดยบริษัทฯ พร้อมที่จะให้นิปปอนฯเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจาก 35% เป็น 49% โดยต้องตกลงกับบริษัท ซูมิไทย ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 5% เพราะไออาร์พีซียังคงถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 51% จากปัจจุบันถืออยู่ 60%

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ กำลังเจรจากับบริษัท RCC Rokita Sa จากประเทศโปแลนด์ ผู้ผลิตพลาสติกโพลิออลชั้นนำจากประเทศโปแลนด์ให้ช่วยด้านการตลาดและเทคโนโลยี โดยพันธมิตรโปแลนด์สนใจที่จะเข้ามาถือหุ้นในโรงงานดังกล่าว 50% หรือคิดเป็นมูลค่า 250 ล้านบาท คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 2 นี้ โดยปัจจุบันโรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิต 25,000 ตัน/ปี แต่เดินเครื่องจักรได้เพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น

นายสุกฤตย์กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ได้รับผลกระทบน้อยจากเศรษฐกิจ (จีดีพี) จีนที่โตลดลงในปีนี้ โดยบริษัทได้ลดสัดส่วนการส่งออกเม็ดพลาสติกไปจีนลดลง โดยปี 58 บริษัทส่งออกเม็ดพลาสติกไปจีนเหลือเพียง 40% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด จากเดิมที่เคยส่งออกไปถึง 60% โดยหันมาทำตลาดอาเซียนที่มีความต้องการใช้เม็ดพลาสติกเพิ่มขึ้น โดยปีที่แล้วบริษัทมีการส่งออกเม็ดพลาสติกคิดเป็น 45% ของกำลังการผลิต


กำลังโหลดความคิดเห็น