xs
xsm
sm
md
lg

ก.พลังงานระดมความเห็นสำรองน้ำมันยุทธศาสตร์ ชี้ระยะยาวต้องทำ-ปตท.เสนอใช้เงินกองทุนฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ก.พลังงานระดมความเห็นภาคเอกชนและหน่วยงานความมั่นคง เห็นพ้องร่วมกันว่าในระยะยาวไทยควรมีสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน แต่ในช่วงระยะสั้น 1-3 ปีนี้ยังไม่มีความจำเป็น เนื่องจากราคาน้ำมันถูก จัดหาได้จากหลายตลาดทั่วโลก ด้าน ปตท.เสนอนำเงินกองทุนน้ำมันจัดเก็บในรูปสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ อาศัยจังหวะในช่วงน้ำมันต่ำกว่า 30 เหรียญ คาดมีกำไรส่วนต่างหากราคาน้ำมันขยับขึ้นตามที่คาดไว้ในครึ่งปีหลังนี้อยู่ที่ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล



นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากที่กระทรวงฯ ได้จัดเสวนารับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องเรื่องการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ที่มีภาครัฐ และเอกชน ทั้งโรงกลั่นน้ำมันและผู้ค้าน้ำมัน หน่วยงานความมั่นคง รวมทั้งนักวิชาการเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น พบว่าทุกฝ่ายต่างเห็นสอดคล้องกันว่า ในอนาคต ประเทศไทยควรมีสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานจากที่ปัจจุบันมีแต่สำรองทางกฏหมายโดยภาคเอกชนเท่านั้น แต่จากภาวะการผลิตน้ำมันตลาดโลกที่ล้นตลาดและราคาต่ำลงมาก ดังนั้น การสำรองน้ำมันไม่จำเป็นต้องถึง 90 วันเหมือนกับแนวคิดอีไอเอที่เคยเสนอไว้

ส่วนรูปแบบการสำรองมีข้อเสนอหลากหลาย เช่น ภาครัฐสร้างคลังสำรองเอง การทำโครงการแลนด์บริดจ์ในภาคใต้ ซึ่งจะดึงดูดการลงทุนจากตะวันออกกลางและตะวันออกไกล โดยที่รัฐบาลไม่ต้องลงทุนสำรองเองทั้งหมด เพราะเอกชนจะสำรองเพื่อนำเข้าและส่งออก การสำรองน้ำมันด้วยการลงทุนในต่างประเทศ รวมไปถึงแนวคิดสำรองในรูปแบบตราสารทุน

นายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการพลังงานอิสระ กล่าวว่า ที่ประชุมมีความเห็นว่า ในระยะสั้นช่วง 1-3 ปี ไทยไม่จำเป็นต้องลงทุนสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพราะภาวะน้ำมันล้นความต้องการจึงสามารถจัดหาอย่างรวดเร็ว แต่ในระยะยาวแล้วไทยควรมีน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์และทำเพื่อความมั่นคงของประเทศเท่านั้น ดังนั้นจึงควรตัดแนวคิดสำรองเชิงการค้า ไม่ว่าจะเป็นสำรองในโครงการแลนด์บริดจ์ สำรองโดยตราสารหนี้ สำรองในต่างประเทศ ทั้งนี้ ภาครัฐจะต้องเป็นผู้ลงทุนทั้งหมดอาจจะเป็น 30 ถึง 45 วัน อีกทั้งพื้นที่ทางทหารที่มีคลังอยู่แล้ว เช่น พื้นที่อู่ตะเภา พื้นที่จุกเสม็ด จังหวัดชลบุรี

ทั้งนี้ การสำรองน้ำมันทางกฎหมายในปัจุบันควรทบทวนให้เหมาะสม โดยน่าจะลดสำรองน้ำมันดิบจาก 6% เหลือ 5% และน้ำมันสำเร็จรูปน่าจะเพิ่มจาก 1% เป็น 3% ก็เพื่อให้สมดุล ก่อนที่จะมีสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์

นางศรีวรรณ เอี่ยมรุ่งโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลยุทธ์องค์กร บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าราคาน้ำมันลงแต่ไม่มี่ใครเดาได้ว่าจะกลับขึ้นเมื่อใด ดังนั้นจึงอยากให้รัฐเร่งรณรงค์ให้มีการใช้น้ำมันอย่างประหยัด ไม่ใช่ปล่อยให้ถูกมากแล้วไม่ดูแล โดยประชาชนต้องเข้าใจว่าถ้าน้ำมันลงรัฐจะเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเผื่อไว้สำหรับอนาคตในช่วงที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น ไม่ใช่แต่จะมุ่งลดราคาน้ำมันลงอย่างเดียว

นอกจากนี้ มองว่ารัฐควรฉวยจังหวะราคาน้ำมันถูกก็เก็บเงินกองทุนน้ำมันในรูปของการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์นับเป็นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและสร้างเสถียรภาพด้านราคาด้วย ขณะนี้ทางรัฐบาลจีนและสิงคโปร์ก็อาศัยจังหวะราคาน้ำมันถูกซื้อเก็บสำรองเอาไว้ ปัจจุบันถ้าซื้อน้ำมันสำรองไว้ที่ระดับราคา 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หากราคาน้ำมันขยับขึ้นไป 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล รัฐก็มีกำไรส่วนต่างนำไปใช้ลงทุนอื่นๆ ได้ทั้งการโดยไม่ต้องขอเงินกองทุนอื่นๆ

ปัจจุบันราคาน้ำมันที่ต่ำนี้ทำให้เกิดความต้องการใช้น้ำมันเบนซินโตขึ้นกว่า 10% คาดว่าปีนี้คาดว่าไทยจะส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปน้อยลงมาก เนื่องจากปีนี้มี 3 โรงกลั่นบางแห่งปิดซ่อมบำรุง ทำให้บางช่วงไทยต้องนำเข้าเบนซินจากเดิมที่เป็นผู้ส่งออก 15-20% ดังนั้นต้องกลับมาพิจารณาว่าจะการเตรียมพร้อมเพื่อให้มีเบนซินเพียงพอใช้ เช่นอาจจะมีการส่งเสริมการใช้เอทานอล และบี 100 เพิ่มมากขึ้น แต่ต้องดูสมดุลด้านราคาด้วยเนื่องจากราคาเอทานอลและบี 100 ค่อนข้างแพง

ทั้งนี้ ทาง ปตท.ได้มีการเตรียมความพร้อมในการจัดาหาเบนซินให้เพียงพอ อาทิ โรงกลั่นไทยออยล์อยู่ระหว่างการศึกษาแผนจะขยายกำลังการกลั่นน้ำมันจากเดิม 2.75 แสนบาร์เรล/วัน เพิ่มเป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน ใช้เงินลงทุน 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะใช้เวลา 3-4 ปีนี้จึงจะแล้วเสร็จ ระหว่างนั้นทางปตท.ได้เสนอให้พีทีที โกลบอลเคมิคอล (PTTGC) ไปศึกษาที่จะนำแนฟทาส่วนเกินที่เคยส่งออกและขายให้กับเครือเอสซีจี นำกลับมาเข้าสู่กระบวนการผลิตเพื่อให้ได้น้ำมันเบนซินเป็นการชั่วคราวคิดเป็นปริมาณหลายหมื่นบาร์เรล/วัน ก่อนที่ PTTGC จะดำเนินการโครงการมาบตาพุด เรโทรฟิต เพื่อนำแนฟทาดังกล่าวมาต่อยอดปิโตรเคมี ก็ช่วงจังหวะที่โรงกลั่นไทยออยล์สามารถขยายกำลังการกลั่นเชิงพาณิชย์ได้

“เรื่องกองทุนน้ำมันฯ น่าจะเป็นยุทธศาสตร์ที่ดี ควรหาวิธีใช้เงินให้เป็นประโยชน์มากกว่า เก็บไปแล้วฝากธนาคาร เพราะมีโอกาสนำไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ถนน หรืออะไรที่ทำให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนด้านการขนส่ง โดยกองทุนดังกล่าวควรมีการเก็บเงินไว้ระดับหนึ่ง ที่เหลือนำไปใช้เพื่อสร้างประโยชน์ต่อประชาชนแบบทวีคูณ เช่น เก็บเงินเข้ากองทุน 1 บาท/ลิตร แต่นำไปใช้เกิดประโยชน์คืนต่อประชาชน เชื่อว่าประชาชนจะไม่คัดค้าน ส่วนจะขัดต่อกฎระเบียบของการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ หรือไม่นั้น เรื่องนี้รัฐอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมายก็สามารถนำไปบรรจุในข้อกฎหมายได้
กำลังโหลดความคิดเห็น