“ทาทา สตีล” ตั้งเป้าการขายเหล็กงวดประจำปี 2559-60 โตขึ้น 8-10% จากการลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ทำให้ดีมานด์เหล็กเส้นในประเทศเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งเจาะตลาดส่งออกเพิ่ม มั่นใจไตรมาส 4/59 พลิกกลับมามีกำไรอีกครั้ง หลังจากราคาเหล็กเส้นขยับสูงขึ้น
นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TSTH) เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางเป้าหมายปริมาณการขายเหล็กเส้นและเหล็กลวดในงวดประจำปี 2559-60 (เม.ย. 59 - มี.ค. 60) โตขึ้น 8-10% จากงวดปี 58/59 ที่มีปริมาณการขายรวม 1.17-1.18 ล้านตัน สูงกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทไทยมีความต้องการใช้เหล็กเส้นเพิ่มขึ้นจากการลงทุนของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานทั้งรถไฟฟ้าสายต่างๆ และโครงการรถไฟทางคู่ โดยล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขายเหล็กเส้นให้ โครงการรถไฟทางคู่จิระ-ขอนแก่น โดยทั้งโครงการจะใช้เหล็กทั้งสิ้น 5 หมื่นตัน คาดว่าจะได้รับคำสั่งซื้อประมาณ 40-50% ของความต้องการใช้ และมีการขายเหล็กไปยังโครงสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียวด้วย
รวมทั้งบริษัทฯ มีแผนทำตลาดส่งออกไปเจาะตลาดใหม่ เช่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตในการส่งออกเหล็กไปยังตลาดดังกล่าว คาดว่าได้ใบอนุญาตในเดือน มี.ค.นี้ โดยปี 2559/60 บริษัทคาดว่าส่งออกเหล็กได้ในสัดส่วนใกล้เคียงที่ผ่านมา 10-11% ของปริมาณการขาย โดยมีส่งออกไปยังอินเดียเพิ่มขึ้นอีก 1 หมื่นตันเป็น 5 หมื่นตัน/ปี และยังส่งออกไปยังลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ เป็นต้น
ส่วนผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4/2559 (ม.ค.-มี.ค. 59) จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้ง หลังจากไตรมาส 3/2559 (ต.ค.-ธ.ค. 58) มีผลขาดทุนสุทธิ 34.9 ล้านบาท เนื่องจากเหล็กเส้นขาดแคลนจากการปริมาณสินค้าคงคลังเหล็กเส้นมีน้อย ทำให้ราคาได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 14 บาท/กิโลกรัม (กก.) จาก ธ.ค. 58 ราคาเหล็กเส้นอยู่ที่ 12.50-12.70 บาท/กก. และไตรมาส 4 นี้บริษัทจะส่งออกเหล็กเส้นไปยังตลาดอินเดียอีกครั้ง หลังจากไตรมาส 3 ได้หยุดส่งออกเพราะอินเดียประสบปัญหาน้ำท่วม
ส่งผลให้งวดประจำปี 2558-2559 (เม.ย. 58 - มี.ค. 59) บริษัทฯ มีกำไรอย่างแน่นอนเนื่องจาก 9 เดือนแรกของปี มีกำไรสุทธิ 22.68 ล้านบาท ดีกว่าปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 609.76 ล้านบาท ส่วนความคืบหน้าการล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 3.37 พันล้านบาทนั้น ขณะนี้ได้เตรียมเสนอคณะกรรมการบริษัทพิจารณาในเรื่องดังกล่าว คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้
“ราคาเหล็กเส้นที่ขยับขึ้นในช่วงต้นเดือน ม.ค.นี้ ไม่ได้เกิดจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น แต่มาจากการเก็บสต๊อกเหล็กเส้นน้อย ทำให้ราคาขยับขึ้นจากปลายปี 58 เฉลี่ยตันละ 800 บาท แต่คาดว่าทั้งปีราคาเหล็กเส้นเฉลี่ยคงอยู่ที่ 15 บาท/กก. ส่วนเหล็กลวดทั้งราคาและปริมาณการขายยังไม่ดี เพราะถูกจีนทุ่มตลาดอยู่”
นายราจีฟกล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนอัตราการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กลวดคาร์บอนสูงจากจีนเพิ่มขึ้นจากเดิม 5-34% เนื่องจากอัตราภาษีที่เก็บขึ้นไม่สูงพอที่จะปกป้องการทุ่มตลาดจากจีนได้ ล่าสุดพาณิชย์ได้เปิดไต่สวนทบทวนใหม่ ส่วนเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ ทางพาณิชย์ได้ออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดชั่วคราว และต่อขยายเพิ่มอีก 3 เดือน สิ้นสุดเดือน มี.ค.นี้ คาดว่าจะออกเป็นมาตรการถาวรในเดือน มี.ค. 59
เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลอินเดียได้ออกมาตรการราคาเหล็กส่งออกต่ำสุดที่จะขายในอินเดีย เพื่อสกัดกั้นการทุ่มตลาดเหล็กจากจีน และดูแลอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศ เช่น กำหนดราคาเหล็กเส้นนำเข้าที่ 450 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าราคาตลาดโลกที่ 370-380 เหรียญสหรัฐ/ตัน