“ปลัดพาณิชย์” ประเมินผลการทำงานปี 58 ให้คะแนน 85 เต็ม 100 โชว์ทำสำเร็จเรื่องต่อต้านคอร์รัปชัน ปรับโครงสร้างพาณิชย์ภูมิภาค ดูแลค่าครองชีพ รักษาส่วนแบ่งตลาดส่งออก เคลียร์ข้าวค้างสต๊อก ย้ำปี 59 มุ่งสานงานต่อ ทั้งระบายข้าว ดันส่งออกบริการและผลักดันธุรกิจไทยไปลงทุนต่างประเทศ พร้อมมุ่งตั้งตลาดชุมชนทั่วประเทศ
น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการประเมินผลการทำงานในปี 2558 ว่า เป็นการประเมินผลการทำงานตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ข้าราชการระดับสูงมีการประเมินผลการทำงานของตัวเอง โดยเรื่องแรกที่ถือว่าทำได้เต็ม 100% ก็คือ การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน โดยได้มีการตั้งศูนย์ต่อต้านคอร์รัปชัน มีผลงานชัดเจน มีการจัดกิจกรรม การสร้างเครือข่าย และขอให้ข้าราชการพาณิชย์ร่วมมือกันต่อต้านคอร์รัปชั่น
ส่วนเรื่องการปรับโครงสร้างพาณิชย์ในส่วนภูมิภาค ได้จัดระบบการบริหารงานบุคคล โดยดึงคนจากหน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงพาณิชย์มาอยู่ในหน่วยงานเดียวกันภายใต้สำนักงานพาณิชย์จังหวัด สามารถผลักดันจนพาณิชย์จังหวัดเป็นผู้อำนวยการระดับสูง หรือซี 9 ตั้งเป้าทั้ง 76 จังหวัด แต่ขาดไป 7 จังหวัด เลยให้คะแนนในเรื่องนี้ 95%
การดูแลค่าครองชีพ น่าจะได้ประมาณ 90% เพราะได้มีการดูแลภาวะราคาสินค้าให้อยู่ในภาวะปกติ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่มีปัญหา ประชาชนมีปัญหาด้านรายจ่าย โดยเฉพาะการดูแลอาหารปรุงสำเร็จ ได้มีการเข้าไปดูแลโดยใช้โครงการหนูณิชย์พาชิมเข้าไปแทรกแซง เพื่อเป็นทางเลือกในการบริโภคให้ประชาชน
ด้านส่งออก ปี 2558 เป็นปีที่เศรษฐกิจโลกแย่ เศรษฐกิจคู่ค้าไม่ดี แต่สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ได้ ไม่ได้ลดลง แม้ว่าตัวเลขการส่งออกจะลดลง ซึ่งก็อยากให้คะแนนเต็มในการทำงานเรื่องนี้
ส่วนเรื่องข้าว มีปัญหาเรื่องภาระสต๊อกที่ค้างมาจากรัฐบาลก่อน การระบายต้องคำนึงว่าทำอย่างไรไม่ให้กระทบต่อราคาข้าวในตลาดปกติ โดยการระบายได้ดูจังหวะ ทำอย่างโปร่งใส เป็นธรรม ทำทุกวิถีทางในการระบายซึ่งสามารถระบายออกไปได้ถึง 5 ล้านตัน ส่วนการใช้มาตรา 44 ไม่ได้ออกมาเพื่อช่วยใคร เป็นการป้องกันเจ้าหน้าที่ในการทำงานระบายข้าว และใช้เพื่อให้ระบายข้าวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทุกขั้นตอนตรวจสอบได้ และหากเห็นว่าไม่สุจริตก็เปิดโอกาสให้ฟ้องร้องได้ ไม่มีการปิดกั้น
ขณะที่การระบายเรื่องข้าวเสียเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม ได้มีการทดลองแยกแล้ว แต่ทำแล้วไม่คุ้มค่า คนทำงานยังทิ้งงาน จึงใช้วิธีขายตามสภาพ และยืนยันว่ามีระบบตรวจสอบควบคุมการรั่วไหลได้เป็นอย่างดี มีการป้องกันดูแลสุดฤทธิ์ ไม่มีข้าวเสื่อมหลุดรอดเข้าสู่ตลาดปกติได้แน่นอน ส่วนข้าวที่เหลือก็กำลังทำแผนระบายอยู่ โดยล่าสุดมีแผนที่จะระบายข้าวเสื่อมคุณภาพที่มีผลตรวจสอบยืนยันว่าไม่มีสารพิษเจือปน ซึ่งจะระบายไปสู่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ เพราะเคยผลการวิจัยว่าสามารถนำไปทำทำผงชูรสได้ด้วย
“การทำงานที่ทำมาทั้งหมดในปี 2558 ถือว่าทำได้สำเร็จ ทำได้ตามเป้า ให้คะแนนตัวเองได้ 85% จากคะแนนเต็ม 100% เพราะทำได้เกือบหมดทุกเรื่อง แต่บางเรื่องก็ยังทำได้ไม่เต็ม 100% ซึ่งจะมีการทำงานในปี 2559 ต่อไป” น.ส.ชุติมากล่าว
น.ส.ชุติมากล่าวต่อว่า แผนการทำงานในปี 2559 จะให้ความสำคัญในการดูแลเรื่องข้าวทั้งระบบ ตั้งแต่การวางแผนการผลิต การทำตลาด โดยจะมีคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เกษตรกร โรงสี หยง ผู้ส่งออก มาช่วยกันกำหนดยุทธศาสตร์ที่จะดำเนินการในช่วง 6 เดือน 12 เดือนและ 18 เดือนว่าจะทำอะไรกันบ้างเพื่อให้การผลิตสอดคล้องกับการตลาด และทำให้ราคาข้าวไทยมีเสถียรภาพอย่างยั่งยืน ก่อนที่จะเสนอให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) พิจารณาต่อไป
ส่วนการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลที่ยังคงเหลืออยู่ประมาณ 13 ล้านตัน จะระบายทั้งส่งออกไปต่างประเทศและขายในประเทศ โดยจะยึดหลักการไม่ให้กระทบต่อราคาข้าวภายในประเทศ ซึ่งตลาดต่างประเทศ เบื้องต้นมีแผนที่จะขายผ่านระบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ปริมาณมากกว่า 2 ล้านตัน เป็นสัญญากับจีนเดิม 1 ล้านตัน และกำลังเจรจาอีก 1 ล้านตัน และยังมีการเจรจาขายให้กับอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์อีกหลายแสนตัน และยังมีแผนที่จะเจรจาขายข้าวให้กับประเทศใหม่ๆ ในแอฟริกาที่ยังไม่เคยซื้อข้าวไทย โดยใช้วิธีการให้สินเชื่อ ขณะที่การระบายข้าวในประเทศ ก็จะทำการระบายต่อไป โดยคำนึงถึงจังหวะที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบกับราคาข้าวในประเทศ
ในด้านการส่งออก กระทรวงฯ จะมุ่งการสร้างรายได้จากภาคบริการและการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับภาคบริการ โดยจะผลักดันให้ไทยเป็นฮับด้านสุขภาพและการท่องเที่ยว เพราะจะมีผลเกี่ยวพันทำให้ส่งออกสินค้าได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งจะผลักดันให้ไทยออกไปลงทุนทำธุรกิจในต่างประเทศ เพราะไทยจะมุ่งแต่การส่งออกสินค้าเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องออกไปลงทุน
นอกจากนี้จะมุ่งการนำเทคโนโลยีมาใช้ในงานบริการต่างๆ ของกระทรวงฯ โดยสามารถเข้าสู่เว็บไซต์ www.moc.go.th สามารถตรวจสอบสิ่งที่อยากรู้เกี่ยวกับงานของกระทรวงพาณิชย์ได้ทั้งหมด และยังมีแอปพลิเคชั่น ที่สามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ได้ด้วย และยังจะมุ่งใช้โซเซียลมีเดียในการเข้าถึงประชาชน ทั้งผ่านเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ เป็นต้น
ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ จะมุ่งพัฒนา SMEs โดยผลักดันให้ใช้นวัตกรรมในการขับเคลื่อน มุ่งสร้างตลาดชุมชน โดยตั้งเป้าเพิ่มให้ได้อีก 77 แห่งในปี 2559 จากที่เปิดไปแล้ว 20 แห่งในปี 2558 และภายใน 3 ปี จะเพิ่มเป็น 231 แห่ง เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนภูมิภาค และเปิดโอกาสให้เกษตรกร ชุมชน มีพื้นที่ในการขายสินค้าเพื่อสร้างรายได้