ผู้จัดการรายวัน 360 - “หมอจุฬา” เผยตลาดเครื่องสำอางในอาเซียนมีแนวโน้มดี ยืนยันผู้บริโภคเพื่อนบ้านไว้วางใจสินค้าจากไทย ย้ำตลาดมีการแข่งขันสูงทั้งจากแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์คนไทย มั่นใจลูกค้าในเวียดนามและลาวตอบรับสูง วอนภาครัฐช่วยผลักดันแบรนด์ไทยสู่ AEC ประสานงานลดขั้นตอนเปิดธุรกิจในต่างแดน
นายจิรัฏฐ์ รุ่งสินเดชาพัฒน์ ประธานกรรมการ บริษัท หมอจุฬา จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบรนด์ MCL (เอมซีแอล) เปิดเผยว่า หลังจากได้เข้าไปทดลองตลาดในประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV ได้แก่ ประเทศกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม พบว่าประเทศที่ให้การตอบรับกับสินค้าของ MCL เป็นอย่างดี คือ เวียดนาม และลาว ตามมาด้วยพม่า และกัมพูชา
ทั้งนี้ การทดลองตลาดในช่วงแรกเป็นการนำเข้าสินค้าจากตัวแทนจำหน่ายของแต่ละประเทศ ซึ่งจะมีกลุ่มลูกค้าที่ทดลองใช้เครื่องสำอาง MCL แล้วเกิดการสั่งซื้ออย่างต่อเนื่องรวมทั้งมีการบอกต่อในกลุ่มเพื่อน ส่งผลให้เกิดความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมืองฮานอย และโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ที่ตลาดมีแนวโน้มขยายตัวค่อนข้างดี
สำหรับในประเทศลาวได้ทำการทดลองตลาดในเวียงจันทน์ และโพนทัน ส่วนประเทศพม่าในเมืองมัณฑะเลย์
สำหรับกัมพูชานั้นขณะนี้ยังไม่มีตัวแทนอย่างเป็นทางการ แต่กำลังมีการเจรจาและมีแนวโน้มว่าภายในต้นปี 2559 บริษัทฯ จะจัดโรดโชว์เพื่อแนะนำสินค้าทุกกลุ่มของ MCL คาดว่าน่าจะได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่เชื่อมั่นในสินค้าไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม การทำตลาดเครื่องสำอางทั้ง 4 ประเทศนั้นมีอุปสรรคอยู่บ้าง เนื่องจากตลาดในเวียดนามนั้นต้องแข่งขันกับแบรนด์ท้องถิ่น ทั้งสินค้าจากประเทศไทย รวมทั้งแบรนด์จากประเทศอื่นๆ ที่มีอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศจีนที่ราคาค่อนข้างถูก
สำหรับประเทศลาวและกัมพูชานั้นคู่แข่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากแบรนด์ของไทยด้วยกัน เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคของทั้งสองประเทศนิยมใช้สินค้าแบรนด์ไทย ส่วนประเทศพม่านั้นจะต้องแข่งขันกับแบรนด์ท้องถิ่นที่มีจุดเด่นเรื่องสมุนไพรในการบำรุงผิว โดยเฉพาะทานาคาซึ่งชาวพม่าใช้กันแทบทุกครัวเรือน การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคในประเทศนี้จึงต้องใช้เวลาพอสมควร
นายจิรัฏฐ์เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การศึกษาแนวโน้มของตลาดแต่ละประเภท เป็นการเตรียมพร้อมในการเข้าไปเปิดตลาดอย่างเป็นทางการ เนื่องจากขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎระเบียบของแต่ละประเทศ เช่น การขออนุญาตในเรื่อง อย.ของแต่ละประเทศให้กับสินค้าทุกประเภท เพื่อที่จะสามารถวางขายได้ทั่วไปในประเทศเหล่านี้ ซึ่งต้องใช้เวลาในการตรวจสอบที่ค่อนข้างนาน ถือว่าค่อนข้างเป็นปัญหาหลักของธุรกิจเครื่องสำอางค์ที่จะเข้าไปขยายตลาดอย่างถูกต้องตามกฎหมายของแต่ละประเทศ
“หลังจากมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยขยายช่องทางการขายสู่ตลาดเพื่อนบ้านได้ง่ายขึ้น แต่ก็อยากวอนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้มีมาตรการในการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าไปเปิดตลาดกับประเทศเพื่อนบ้านให้มากขึ้น เช่น จัดกิจกรรมโรดโชว์ไปประเทศต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้นักธุรกิจไทยได้พบปะกับนักธุรกิจท้องถิ่นในแต่ละประเทศ หรือประสานงานกับหน่วยงานรัฐของแต่ละประเทศในการอำนวยความสะดวกหรือลดขั้นตอนในการขอใบอนุญาตต่างๆ ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าในช่วงแรกของการเปิดตลาดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน จะช่วยผลักดันผลประกอบการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%” นายจิรัฏฐ์กล่าว
นายจิรัฏฐ์ รุ่งสินเดชาพัฒน์ ประธานกรรมการ บริษัท หมอจุฬา จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบรนด์ MCL (เอมซีแอล) เปิดเผยว่า หลังจากได้เข้าไปทดลองตลาดในประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV ได้แก่ ประเทศกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม พบว่าประเทศที่ให้การตอบรับกับสินค้าของ MCL เป็นอย่างดี คือ เวียดนาม และลาว ตามมาด้วยพม่า และกัมพูชา
ทั้งนี้ การทดลองตลาดในช่วงแรกเป็นการนำเข้าสินค้าจากตัวแทนจำหน่ายของแต่ละประเทศ ซึ่งจะมีกลุ่มลูกค้าที่ทดลองใช้เครื่องสำอาง MCL แล้วเกิดการสั่งซื้ออย่างต่อเนื่องรวมทั้งมีการบอกต่อในกลุ่มเพื่อน ส่งผลให้เกิดความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมืองฮานอย และโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ที่ตลาดมีแนวโน้มขยายตัวค่อนข้างดี
สำหรับในประเทศลาวได้ทำการทดลองตลาดในเวียงจันทน์ และโพนทัน ส่วนประเทศพม่าในเมืองมัณฑะเลย์
สำหรับกัมพูชานั้นขณะนี้ยังไม่มีตัวแทนอย่างเป็นทางการ แต่กำลังมีการเจรจาและมีแนวโน้มว่าภายในต้นปี 2559 บริษัทฯ จะจัดโรดโชว์เพื่อแนะนำสินค้าทุกกลุ่มของ MCL คาดว่าน่าจะได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่เชื่อมั่นในสินค้าไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม การทำตลาดเครื่องสำอางทั้ง 4 ประเทศนั้นมีอุปสรรคอยู่บ้าง เนื่องจากตลาดในเวียดนามนั้นต้องแข่งขันกับแบรนด์ท้องถิ่น ทั้งสินค้าจากประเทศไทย รวมทั้งแบรนด์จากประเทศอื่นๆ ที่มีอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศจีนที่ราคาค่อนข้างถูก
สำหรับประเทศลาวและกัมพูชานั้นคู่แข่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากแบรนด์ของไทยด้วยกัน เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคของทั้งสองประเทศนิยมใช้สินค้าแบรนด์ไทย ส่วนประเทศพม่านั้นจะต้องแข่งขันกับแบรนด์ท้องถิ่นที่มีจุดเด่นเรื่องสมุนไพรในการบำรุงผิว โดยเฉพาะทานาคาซึ่งชาวพม่าใช้กันแทบทุกครัวเรือน การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคในประเทศนี้จึงต้องใช้เวลาพอสมควร
นายจิรัฏฐ์เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การศึกษาแนวโน้มของตลาดแต่ละประเภท เป็นการเตรียมพร้อมในการเข้าไปเปิดตลาดอย่างเป็นทางการ เนื่องจากขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎระเบียบของแต่ละประเทศ เช่น การขออนุญาตในเรื่อง อย.ของแต่ละประเทศให้กับสินค้าทุกประเภท เพื่อที่จะสามารถวางขายได้ทั่วไปในประเทศเหล่านี้ ซึ่งต้องใช้เวลาในการตรวจสอบที่ค่อนข้างนาน ถือว่าค่อนข้างเป็นปัญหาหลักของธุรกิจเครื่องสำอางค์ที่จะเข้าไปขยายตลาดอย่างถูกต้องตามกฎหมายของแต่ละประเทศ
“หลังจากมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยขยายช่องทางการขายสู่ตลาดเพื่อนบ้านได้ง่ายขึ้น แต่ก็อยากวอนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้มีมาตรการในการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าไปเปิดตลาดกับประเทศเพื่อนบ้านให้มากขึ้น เช่น จัดกิจกรรมโรดโชว์ไปประเทศต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้นักธุรกิจไทยได้พบปะกับนักธุรกิจท้องถิ่นในแต่ละประเทศ หรือประสานงานกับหน่วยงานรัฐของแต่ละประเทศในการอำนวยความสะดวกหรือลดขั้นตอนในการขอใบอนุญาตต่างๆ ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าในช่วงแรกของการเปิดตลาดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน จะช่วยผลักดันผลประกอบการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%” นายจิรัฏฐ์กล่าว