ครม.รับทราบโอนสัญญาสัมปทาน “ทางด่วนและรถไฟฟ้า” ของ กทพ.และ รฟม. ตามแผนควบรวม BECL และ BMCL ไปยังบริษัท BEM ที่คาดจะจัดตั้งเสร็จต้นปี 59 ชี้ไม่มีผลกระทบต่อเงื่อนไขสัญญาและทำให้บริษัทคนไทยเข้มแข็งขึ้น โดยเน้นเรื่องคุณภาพบริการและคุมค่าโดยสาร
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 8 ธ.ค. มีมติรับทราบการโอนสัมปทานและแก้ไขสัญญาสัมปทานของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กับ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL ประกอบด้วย สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2, สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วนดี และสัญญาการลงทุนออกแบบก่อสร้างบริหารจัดการให้บริการและบำรุงรักษาโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ไปยังบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมระหว่างบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL กับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL คือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ Bangkok Express Metro : BEM
และรับทราบการโอนสัมปทานและแก้ไขสัญญาสัมปทานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กับ BMCL ประกอบด้วยสัญญาโครงการระบบรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล และสัญญาโครงการระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ไปยังบริษัทที่เกิดจากการควบรวมระหว่าง BECL กับ BMCL โดยหลังจากนี้จะแจ้งมติ ครม.ให้เอกชนรับทราบเพื่อให้บริษัทดำเนินการควบรวมตามขั้นตอนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งทั้ง 2 บริษัทจะต้องเคลียร์หนี้กันก่อน โดยปัจจุบัน BMCL มีภาระหนี้ประมาณ 13,000 ล้านบาท ส่วน BECL มีกำไร
โดยเห็นว่าได้ผ่านการพิจารณาตามขั้นตอนและอยู่ในขอบเขตอำนาจของคณะกรรมการ (บอร์ด) กทพ. และบอร์ด รฟม. และอัยการได้ตรวจสอบร่างสัญญาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งการควบรวม BECL และ BMCL ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบริหารสัญญาสัมปทานของ กทพ. และ รฟม. และยังทำให้บริษัทคนไทยมีความเข้มแข็งและมีศักยภาพในการขยายธุรกิจทั้งด้านการก่อสร้าง และการลงทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้ การกำกับดูแลการบริหารงานจะอยู่ภายใต้คณะกรรมการมาตรา 47 แห่ง พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 2556 ซึ่งจะต้องให้บริการที่มีคุณภาพ และดูแลเรื่องอัตราค่าโดยสารที่ไม่กระทบต่อประชาชน
นายณรงค์ เขียดเดช รักษาการผู้ว่าฯ กทพ. กล่าวว่า กทพ.จะแจ้งมติ ครม.ไปที่ BECL ซึ่งหลักการควบรวมจะต้องพิจารณาในส่วนที่อัยการสูงสุดได้ให้ความเห็นในประเด็นเรื่องสัญญาค้ำประกัน สัญญาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บริษัทคู่สัญญาใหม่ดำเนินการแก้ไขให้สอดคล้อง คาดว่าจะมีการลงนามในสัญญาระหว่าง กทพ.กับบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ได้ในต้นปี 2559