ปตท.ดับฝัน! ปีหน้าไม่มีโอกาสเห็นกำไรกลับมาแตะแสนล้านบาทเหมือนอดีต คงต้องใช้เวลาจนกว่าราคาน้ำมันดิบพุ่ง 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากกำไรมาจาก ปตท.สผ.คิดเป็นสัดส่วน 30-40% ของกำไรรวม ยันปี 59 คาดราคาน้ำมันดิบอยู่ระดับ 50 กว่าเหรียญเท่านั้น จับตา! ปตท.จ่อบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์ธุรกิจถ่านหิน หลังราคาวูบหนัก
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ ปตท.ในปี 2559 โอกาสที่จะมีกำไรสุทธิกลับไปสู่ภาวะปกติที่ระดับ 1 แสนล้านบาทนั้นคงไม่เร็วขนาดนั้น เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมากจากช่วงเวลาดังกล่าวที่เคยสูงถึงระดับ 100 กว่าเหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เมื่อราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงมาอยู่ที่ 40-50 เหรียญสหรัฐ ทำให้กำไรจากการดำเนินงานของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(ปตท.สผ.) ปรับตัวลงมาก ซึ่งกำไรจาก ปตท.มาจาก ปตท.สผ.ถึง 30-40% ของกำไรรวม ตัวธุรกิจของ ปตท.เอง 30% และที่เหลือมาจากบริษัทลูกทั้งปิโตรเคมี และโรงกลั่นน้ำมัน
ดังนั้น ปตท.จะกลับมามีกำไรระดับแสนล้านบาทได้ ปัจจัยราคาน้ำมันต้องขยับขึ้นในระดับที่สูง 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพื่อให้ ปตท.สผ.มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นด้วย ทั้งนี้ ปตท.มีการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร ดังนั้น ในปีหน้าคาดว่าธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมคงฟื้นตัวไม่มากจากระดับราคาน้ำมันสูงขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 50 กว่าเหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนธุรกิจขั้นกลาง คือธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ในปีหน้าคาดว่าจะกลับมีกำไรสู่ภาวะปกติ หลังจากปีนี้ราคาขายก๊าซฯ ปรับลดลงเร็วกว่าต้นทุนก๊าซฯ เนื่องจากอิงสูตรราคาน้ำมันเตาย้อนหลัง 6-9 เดือน ทำให้กำไรจากธุรกิจก๊าซฯ ในปีนี้ลดลงไป
ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นนั้นจะยังดีต่อเนื่องจากปีนี้ โดยเฉพาะโรงกลั่นน้ำมันที่ปีนี้ค่าการกลั่นค่อนข้างดี ส่วนปิโตรเคมีนั้นคาดว่าราคาอะโรเมติกส์จะดีขึ้นกว่าปีนี้ ส่วนธุรกิจโอเลฟินส์ก็ยังดีต่อเนื่องจากปี 2558 ตามทิศทางแนวโน้มวัฏจักรราคาขาขึ้น
นายวิรัตน์ กล่าวต่อไปว่า จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงมากส่งผลให้ราคาถ่านหินปรับตัวลดลงแรงเช่นกัน ดังนั้น บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะมีการทำการด้อยค่าสินทรัพย์ของธุรกิจถ่านหินหรือไม่ หากมีการรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าลงก็จะบันทึกในไตรมาส 4/2558 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของ ปตท. โดยยอมรับว่าธุรกิจถ่านหินเริ่มมีผลขาดทุนบ้างแล้วในไตรมาส 3ที่ผ่านมา
ที่ผ่านมา ปตท.มีการบันทึกการด้อยค่าสินทรัพย์ธุรกิจปลูกปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย และธุรกิจท่อน้ำมันอียิปต์ ก็บันทึกการด้อยค่าถึง 2 ใน 3 แล้ว ส่วนธุรกิจถ่านหินนั้นยังไม่มีการบันทึกการด้อยค่าสินทรัพย์ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า บริษัทฯ ส่วนใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจถ่านหินยังไม่มีการทำบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์แต่อย่างใด
“ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2558 คาดว่าดี ยอมรับว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมีผลทำให้ยอดขายลดลงไปด้วย แต่ปริมาณการขายไม่ได้ลดลง แต่กลับดีขึ้นโดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูป ส่วนไตรมาสนึ้คงไม่มีการบันทึกด้อยค่าขนาดใหญ่อย่าง ปตท.สผ.เหมือนไตรมาส 3 แต่เนื่องจากมองว่าราคาน้ำมันจะทรงตัวในระดับต่ำไปอีกสักพัก จึงตัดสินใจทำการด้อยค่าสินทรัพย์บางส่วนไป ซึ่งไม่กระทบต่อธุรกิจแต่อย่างใด”
ส่วนการขายหุ้นในบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) สัดส่วน 36% ให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ในวันที่ 23-25 พ.ย. คาดว่าจะบันทึกรับรู้รายได้ในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ ซึ่งปตท.จะบันทึกเป็นกำไรในงบการเงินรวมไม่มากนัก เพราะมีการบันทึกสะท้อนต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นมาเป็นระยะก่อนหน้านี้แล้ว แต่จะมีกระแสเงินสดจากการขายหุ้น SPRC เข้ามา ปตท.มากถึง 1 หมื่นกว่าล้านบาท
ทั้งนี้ ปตท.อยู่ระหว่างทบทวนแผนธุรกิจ 5 ปี (2559-2563) ประมาณ 3 แสนล้านบาท เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทฯ เพื่ออนุมัติในเดือน ธ.ค.นี้ ส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนที่วางไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น โครงการท่อก๊าซฯ เส้นที่ 5 โครงการแอลเอ็นจี เทอร์มินอล เฟส 2 เป็นต้น ซึ่งภาพรวมแม้ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงโปรเจกต์แต่หวังว่าเม็ดเงินลงทุนจะลดลงเพื่อให้สอดคล้องต่อภาวะการณ์ปัจจุบัน โดย ปตท.จะเจรจาต่อรอง หรือเปิดประมูลใหม่