ปตท.คาดกำไรไตรมาส 2/58 ใกล้เคียงไตรมาสแรกปีนี้ที่ 2.26 หมื่นล้านบาท แม้ว่าจะบันทึกกำไรจากการขายหุ้นบางจากฯ ประมาณ 4 พันล้านบาทก็ตาม เหตุกำไรจาก ปตท.สผ.ลดฮวบ หลังราคาน้ำมันต่ำกว่าคาดและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและเฮดจิ้งน้ำมัน ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นยังดีอยู่ เผยไตรมาส 3 นี้เตรียมออกหุ้นกู้ 4-5 พันล้านบาท ทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดชำระ และหาจังหวะออกหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ หลังแนวโน้มดอกเบี้ยส่อแววปรับขึ้นในอนาคต
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (PTT) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2558 ว่า บริษัทฯ คาดว่ามีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2558 ใกล้เคียงไตรมาส 1/2558 ที่มีกำไรสุทธิ 2.26 หมื่นล้านบาท แม้ว่าบริษัทฯ จะบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้นทั้งหมด 27.2% ของบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP)ประมาณ 4 พันล้านบาท แต่ไตรมาสนี้บริษัทได้รับผลกระทบจากกำไรบริษัทย่อย คือ บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) มีกำไรลดลงมากจากราคาน้ำมันที่ลดลง มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และขาดทุนจากการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน (เฮดจิ้ง) ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมียังมีผลประกอบการที่ดีอยู่
“กำไรสุทธิไตรมาส 2 นี้จะใกล้เคียงไตรมาสแรก โดยธุรกิจ upstream ยังเหนื่อยกำไรลดลงเยอะ เพราะราคาน้ำมันไม่กระเตื้องมากอย่างคาดไว้ และยังมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนและเฮดจิ้งน้ำมันด้วย ส่วนธุรกิจ downstream ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ค่าการกลั่นไปได้ดี ปิโตรเคมีดี” นายวิรัตน์กล่าว
สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 มองว่าธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของ ปตท.สผ.ยังคงได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ยังอยู่ระดับต่ำ ขณะก็เป็นโอกาสที่ดีในการแสวงหาโอกาสการลงทุนซื้อกิจการรหรือร่วมทุน (M&A) แหล่งปิโตรเลียมใหม่ เนื่องจาก ปตท.สผ.เป็นบริษัทที่มีเงินสดค่อนข้างมากถึง 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดย ปตท.สผ.จะเลือกลงทุนในภูมิภาคนี้ และเน้นแหล่งปิโตรเลียมที่ดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้อยู่แล้วเพื่อบันทึกรายได้เข้ามา
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ ปตท.ประเมินทิศทางราคาน้ำมันอยู่ในช่วง 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากปริมาณการผลิตน้ำมันโลกยังสูงเกินความต้องการใช้ โดยปัญหาในยุโรปเริ่มคลี่คลายแล้วแต่ยังต้องจับตาทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนด้วยต่อไป ส่วนกรณีปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่านที่สามารถบรรลุข้อตกลงกับชาติมหาอำนาจได้แล้วนั้น เชื่อว่ากว่าจะมีปริมาณน้ำมันออกสู่ตลาดน่าจะเป็นช่วงปลายปี จึงไม่น่าจะกดดันราคาน้ำมันโลกได้
นายวิรัตน์กล่าวต่อไปว่า สำหรับการขายธุรกิจสวนปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซียในช่วงที่ผ่านมานั้นมีผลขาดทุนพอควร โดยยังคงเหลือพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่เตรียมขายออกไปอีก 1-2 แปลงที่เตรียมจะขายออกไปในเร็วๆ นี้ตามแผนที่วางไว้
ส่วนแผนการออกหุ้นกู้ของ ปตท.ในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯ เตรียมออกหุ้นกู้เพื่ดทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดชำระ 4-5 พันล้านบาทในช่วงไตรมาส 3 นี้ เพื่อรักษาฐานผู้ถือหุ้นกู้รายย่อยไว้ไม่ให้ลดลง
ปัจจุบัน ปตท.มีกระแสเงินสดอยู่ 6-7 หมื่นล้านบาท เพียงพอที่จะใช้ลงทุน จึงไม่มีความจำเป็นต้องออกหุ้นกู้เพื่อลงทุนในปีนี้ แต่ที่ต้องออกหุ้นกู้ในไตรมาส 3 นี้ก็เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดชำระเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตลาดการเงินในช่วงนี้ดอกเบี้ยต่ำ และมีแนวโน้มที่ดอกเบี้ยจะสูงขึ้น โดย ปตท.อยู่ระหว่างหาจังหวะที่จะออกหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ หลังจาก ปตท.เคยออกหุ้นกู้ดังกล่าวเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
ด้านนายสรัญ รังคสิริ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการหน่วยธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราคาน้ำมันใน 1-2 วันนี้ยังไม่มีการปรับลดเพิ่มเติมอีก เพราะค่าการตลาดยังอยู่ในเกณฑ์เหมาะสม และตลาดกำลังจับตาดูเรื่องอิหร่านว่าจะกดดันราคาน้ำมันอย่างไร
วันนี้ (20 ก.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะได้เยี่ยมชมโรงเรียนกำเนิดวิทย์ และสถาบันวิทยสิริเมธี ดำเนินโครงการโดยกลุ่ม ปตท. บนพื้นที่ 900 ไร่ ต.ป่ายุบใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โรงเรียนกำเนิดวิทย์ และสถาบันวิทยสิริเมธี เน้นการเรียนการสอนและการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเพื่อผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพระดับโลกขึ้นในไทย โดยการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับเด็กนักเรียนที่ได้รับคัดเลือกเข้าศึกษา โดยปีนี้เปิดเป็นปีแรก รับนักเรียนระดับ ม.4 จำนวน 72 คนจาก 22 จังหวัดทั่วประเทศ
ดังนั้น ปตท.อยากเชิญชวนภาคเอกชนหรือหน่วยงานที่สนใจเข้าร่วมในการสนับสนุนโครงการพัฒนาการศึกษา โดยไม่จำเป็นต้องทุ่มงบประมาณก้อนโตมาสร้างสถานศึกษาใหม่เพราะ ปตท.ได้ริเริ่มงานต่างๆ ดังกล่าวแล้ว เพียงแต่ต่อยอดในงานส่วนอื่นๆ เช่น ร่วมเป็นสปอนเซอร์ด้านอุปกรณ์หรือโครงการเฉพาะด้านอื่น เป็นต้น